Weekly Buzz: ประวัติศาสตร์ตลาด 200 ปี บอกอะไรเรา?
Deutsche Bank เพิ่งเผยผลการวิจัยที่รวบรวมข้อมูลย้อนหลังกว่า 200 ปีใน 56 ตลาดทั่วโลก นับเป็นหนึ่งในงานวิจัยที่รอบด้านที่สุดเพื่อศึกษาว่าสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ให้ผลตอบแทนอย่างไรในระยะยาว? และนี่คือบทเรียนสำคัญจากรายงานฉบับนี้

‘เวลา’ คือเพื่อนที่ดีที่สุดของนักลงทุน
งานวิจัยนี้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกตะลึงตั้งแต่กราฟแรก เพราะหากคุณนำเงินเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐ ไปลงทุนในหุ้นทั่วโลกเมื่อปี 1824 และนำเงินปันผลไปลงทุนซ้ำอย่างต่อเนื่อง เงินก้อนดังกล่าวจะมีมูลค่าสูงกว่า 10,000 ดอลลาร์ฯ (ปรับด้วยเงินเฟ้อ) ในอีก 200 ปีต่อมา เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น เงินลงทุน 1,000 ดอลลาร์ฯ จะกลายเป็น 17.6 ล้านดอลลาร์ฯ ในปัจจุบัน หรือเฉลี่ย 4.9% ต่อปี หลังหักเงินเฟ้อ นี่คือพลังของผลตอบแทนทบต้นที่ทำงานอย่างไม่หยุดยั้ง
ในทางกลับกัน ทางเลือกที่ดูเหมือนจะ ‘ปลอดภัยกว่า’ กลับให้ผลตอบแทนเทียบกันไม่ติด โดยเงิน 1 ดอลลาร์ฯ ที่ถูกเก็บไว้เฉยๆ จะสูญเสียมูลค่าเฉลี่ย 2% ต่อปี เพราะถูกเงินเฟ้อกัดกินอำนาจในการซื้อ โดยเงิน 1 ดอลลาร์ฯ จะมีค่าเหลือเพียงประมาณ 1 เซนต์เท่านั้นเมื่อผ่านไป 200 ปี นอกจากนี้ ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่า ยิ่งถือหุ้นนานเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่จะขาดทุนก็ยิ่งลดลงเท่านั้น โดยหากคุณลงทุนในหุ้นในช่วงเวลาไหนก็ตามเป็นเวลา 25 ปี โอกาสที่คุณจะขาดทุน จะเหลือแค่ 0.8% เท่านั้น
สมองของคนเรามักถูกตั้งโปรแกรมให้เชื่อว่า ‘เงินสดคือสินทรัพย์ที่ปลอดภัย’ แต่ ‘หุ้นคือความเสี่ยง’ แต่นั่นอาจเป็นความเข้าใจที่สับสนระหว่าง ‘ความผันผวนระยะสั้น’ กับ ‘ความเสี่ยงระยะยาว’ เพราะหุ้นคือการเป็นเจ้าของธุรกิจจริงๆ ที่ขายสินค้าและบริการจริงๆ แม้จะมีเงินเฟ้อ แต่บริษัทเหล่านี้ก็สามารถขึ้นราคาสินค้าเพื่อปกป้องกำไร ซึ่งก็คือการปกป้องเงินลงทุนของคุณในทางอ้อม หุ้นจึงถือเป็นช่องทางที่จะทำให้คุณได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
Key Takeaway
เราอาจพูดได้ว่าเวลาคือเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุน แต่เป็นศัตรูตัวฉกาจสำหรับผู้ที่ชอบถือเงินสด ซึ่งในระยะยาว ความเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเงินของคุณไม่ใช่เหตุการณ์ที่ทำให้ตลาดหุ้นถล่ม แต่คือการไม่ลงทุน แม้เงินสดจะยังเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับบัญชีฉุกเฉินและเพื่อความอุ่นใจ แต่หากคุณมีเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นแผนเกษียณ ซื้อบ้าน หรือการศึกษาของลูกๆ การนำเงินสดไปลงทุนให้พอร์ตเติบโตย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
(หากคุณกำลังมองหาพอร์ตที่สามารถบริหารเงินสดให้งอกเงย ลองดูพอร์ต USD Cash Plus ของเรา หรือหากคุณอยากลงทุนหุ้นทั่วโลกในระยะยาว พอร์ต General Investing ของเราก็อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม)
ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ: ราคาทองคำและโลหะเงินพุ่งเพราะ Fed

ราคาทองคำและโลหะเงินพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบหลายสัปดาห์ ท่ามกลางกระแสเก็งกำไรของบรรดา Trader ที่มั่นใจว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งในสัปดาห์หน้า โดยข้อมูลจาก CME FedWatch แสดงให้เห็นว่า ตลาดให้โอกาสสูงถึง 88% ที่ Fed จะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. นี้ หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐหลายรายการเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง
ปกติแล้ว โลหะมีค่ามักจะทำผลงานได้ดีในช่วงที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลงและเงินดอลลาร์ฯ จะอ่อนค่า เพราะดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองสินทรัพย์ที่ไม่จ่ายดอกเบี้ยหรือปันผลอย่างทองคำและโลหะเงิน ขณะที่ การอ่อนค่าของดอลลาร์ฯ ซึ่งมักเกิดขึ้นไปพร้อมกับการลดดอกเบี้ย ก็จะทำให้ราคาทองคำถูกลงสำหรับผู้ซื้อที่ถือสกุลเงินอื่น และสำหรับโลหะเงินยังมีข้อได้เปรียบอีกประการ เพราะเกือบ 60% ของ Supply จะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมจริง เช่น แผงโซลาร์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้โลหะเงินมีความสำคัญกับภาคการผลิต และการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคพลังงานสะอาดทั่วโลก ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยถือเป็นแรงขับเคลื่อน Demand ที่มั่นคงในระยะยาว
อีกประเด็นที่น่าจับตาคือการคาดการณ์ผู้ที่จะมากุมบังเหียน Fed คนต่อไป โดย Kevin Hassett ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ผู้สนับสนุนแนวทางดอกเบี้ยต่ำ ได้เปรยว่าเขายินดีที่จะรับตำแหน่งประธาน Fed คนต่อไป ขณะที่ รัฐมนตรีคลัง Scott Bessent เชื่อว่า ประธานาธิบดี Donald Trump น่าจะประกาศชื่อผู้นำธนาคารกลางสหรัฐคนใหม่ก่อนช่วงคริสต์มาสนี้
(คุณสามารถลงทุนในทองคำหรือโลหะเงินได้ง่ายๆ ผ่าน Flexible Portfolio ของเรา)
เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize
Simply Finance: ต้นทุนค่าเสียโอกาส
ต้นทุนค่าเสียโอกาส คือสิ่งที่คุณต้องแลกหรือเสียไปเมื่อคุณตัดสินใจเลือกทางเลือกหนึ่งแทนอีกทางเลือกหนึ่ง ตัวอย่างเช่น หากคุณฝากเงิน 10,000 ดอลลาร์ฯ ไว้ในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ย 1% ต้นทุนค่าเสียโอกาสของคุณก็คือผลตอบแทน 5% ที่คุณอาจได้รับ หากนำเงินก้อนนั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือทองคำที่ไม่จ่ายเงินปันผลหรือดอกเบี้ย ดังนั้นในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง การถือครองทองคำจึงอาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอจากสินทรัพย์อื่น แต่เมื่อใดที่ดอกเบี้ยปรับตัวลดลง ต้นทุนค่าเสียโอกาสหรือข้อเสียเปรียบตรงนี้ก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย

