Weekly Buzz: เงินเฟ้อที่ยืดเยื้อและการลดดอกเบี้ย ส่งผลอย่างไรต่อพอร์ตของคุณ? ✂️

25 July 2025

แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ

ตัวเลขเงินเฟ้อในสหรัฐ กลับมาเร่งตัวอีกครั้งในเดือน มิ.ย. ทำให้ Fed เผชิญภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขณะที่ ฝั่งทำเนียบขาวต้องการให้ Fed ลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่แรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าทำให้การแก้ปัญหานี้ซับซ้อนยิ่งขึ้น อธิบายง่ายๆ คือ สหรัฐกำลังติดอยู่ระหว่าง ‘นโยบายการค้า’ กับ ‘นโยบายการเงิน’ และตลาดเองก็ไม่ค่อยสบายใจนัก

เกิดอะไรขึ้น?

อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) เพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนมิ.ย. ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐาน (ไม่รวมอาหารและพลังงาน) พุ่งขึ้น 2.9% โดยสินค้านำเข้ากลายเป็นตัวแปรหลัก เช่น ราคาเสื้อผ้าที่เพิ่มขึ้น 0.4% ส่วนราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์พุ่งถึง 1.4% โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Yale ประเมินว่า มาตรการภาษีนำเข้าที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน ทำให้ภาคครัวเรือนสหรัฐ ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 2,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี

Jerome Powell ประธาน Fed กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า หากไม่มีเรื่องภาษีนำเข้า Fed คงลดดอกเบี้ยไปแล้ว โดยปัจจุบัน Fed เลือกคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25% ถึง 4.5% ติดต่อกันถึง 6 ครั้งเข้าไปแล้ว ซึ่งจากประมาณการล่าสุดของ Fed แสดงให้เห็นว่า การปรับลดดอกเบี้ยจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปในช่วงปี 2025-2027

ท่าทีของ Fed แตกต่างจากธนาคารกลางของประเทศอื่นๆ เช่น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ลดดอกเบี้ยลงเหลือ 2% ส่วนธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ก็เริ่มลดดอกเบี้ยลงแล้วแม้ปัญหาเงินเฟ้อจะยังยืดเยื้ออยู่ก็ตาม เช่นเดียวกับหลายประเทศในทวีปเอเชีย เนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลกกำลังแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และความเสี่ยงจากมาตรการภาษีนำเข้าของ Trump

แล้วนักลงทุนควรทำอย่างไร?

แม้ Yield ของพันธบัตรสหรัฐอาจยังอยู่ในระดับสูงต่อไป (Higher for Longer) แต่ก็ต้องแลกมาด้วยต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น และเศรษฐกิจที่เติบโตช้าลง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนจำนวนมากเฝ้ารอการลดดอกเบี้ยอย่างใจจดใจจ่อ ขณะเดียวกัน การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางในยุโรปและเอเชีย ก็ทำให้ Yield ของพันธบัตรในภูมิภาคเหล่านี้ลดลงตามไปด้วย

การกระจายความเสี่ยงยังเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม เมื่อธนาคารกลางทั่วโลกไม่ได้ดำเนินนโยบายการเงินไปในทิศทางเดียวกัน โดยการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก ทั้งพันธบัตรและหุ้นกู้คุณภาพดี จะช่วยให้นักลงทุนได้ประโยชน์จาก Yield ที่ยังอยู่ในระดับสูง และช่วยควบคุมความเสี่ยงในพอร์ต ขณะเดียวกัน หุ้นก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญสำหรับการเติบโตในระยะยาว โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ซึ่งอาจช่วยสนับสนุน Sentiment ของตลาด

(หากคุณกำลังมองหาพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจ และภูมิภาค พอร์ต General Investing ของเรา อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม)

💡 Investors’ Corner: วิธีให้เงินทำงานในยุคดอกเบี้ยสูง

เป็นเวลานานกว่าทศวรรษ หลังวิกฤติการเงินโลกปี 2008 ที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยเกือบเป็นศูนย์ เพราะธนาคารกลางทั่วโลกต่างใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ผู้ฝากเงินแทบไม่ได้รับผลตอบแทนจากเงินสดของตัวเองเลย แต่สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปหลัง COVID-19 ที่เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ธนาคารกลางต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเพื่อแก้ปัญหา

ปัจจุบัน ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มกลับมาลดดอกเบี้ยอีกครั้ง  Yield ของตราสารหนี้จึงเริ่มปรับตัวลงจากจุดสูงสุด ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่ดีในการพิจารณากลยุทธ์ในการบริหารเงินสดของคุณ

เครื่องมือบริหารเงินสดในปัจจุบันให้ทางเลือกที่สมดุลกว่า นักลงทุนจึงยังคงมีสภาพคล่อง และมีโอกาสรับผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ แม้ดอกเบี้ยจะเริ่มลดลง แต่ผลตอบแทนจากเงินสดและตราสารหนี้ระยะสั้นก็ยังดีกว่าเมื่อเทียบกับในช่วง 10 ปีหลังวิกฤติการเงินโลก

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าพอร์ตจัดการเงินสดคือ ‘ที่พักชั่วคราว’ ไม่ใช่ ‘จุดหมายปลายทาง’ โดยเป้าหมายก็คือการเก็บเงินสำรองไว้พอรับมือกับเหตุไม่คาดฝันในชีวิต แต่ต้องไม่มากเกินไปจนฉุดรั้งผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว

หัวใจสำคัญคือ แบ่งหน้าที่ของเงินแต่ละก้อนให้เหมาะสม เช่น เงินสำรองฉุกเฉินควรอยู่ในที่ที่เข้าถึงได้ง่าย หรือใช้ประโยชน์จากตราสารหนี้เพื่อเป้าหมายระยะสั้น-กลาง ส่วนการลงทุนในพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนทั่วโลก คือวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเติบโตระยะยาว

(อยากให้เงินสดของคุณทำงานมากขึ้น โดยไม่ต้องล็อกไว้ในระยะยาว? ลองดูพอร์ต USD Cash Plus ของเรา)

เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize

🎓 Simply Finance: Yield ตราสารหนี้

Yield ของตราสารหนี้ คือผลตอบแทนที่คุณได้รับจากการถือครองตราสารหนี้ คล้ายกับดอกเบี้ยที่คุณได้รับจากบัญชีเงินฝาก ซึ่งโดยทั่วไป ตราสารหนี้จะจ่ายดอกเบี้ยต่อปีแบบคงที่ (เรียกว่า Coupon) แต่ผลตอบแทนที่แท้จริงหรือ Yield จะขึ้นอยู่กับว่าคุณซื้อตราสารหนี้ดังกล่าวมาในราคาเท่าไหร่

ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณซื้อตราสารหนี้ราคา 1,000 ดอลลาร์ฯ ที่จ่ายดอกเบี้ย 40 ดอลลาร์ฯ ต่อปี หมายความว่าคุณจะได้ Yield ที่ 4% แต่หากคุณซื้อตราสารหนี้ดังกล่าวมาในราคาตลาด 950 ดอลลาร์ฯ และยังจ่ายดอกเบี้ย 40 ดอลลาร์ฯ ต่อปีเท่าเดิม แถมยังได้เงินต้น 1,000 ดอลลาร์ฯ คืนเมื่อครบกำหนดอายุ เท่ากับว่าคุณได้ผลตอบแทนมากขึ้น นั่นคือเหตุผลว่า ทำไม Yield จึงปรับตัวสูงขึ้นเมื่อราคาตราสารหนี้ลดลง รวมถึงในทางกลับกันด้วย


แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ