ทำไม S&P 500 ถึงบวกต่อ ท่ามกลางข่าวภาษีนำเข้า 💪

ทำไมเมื่อเดือนที่แล้ว ดัชนี S&P 500 ถึงยังทำผลงานได้ดี? โดยปรับตัวขึ้นถึง 6.2% ซึ่งดีที่สุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2023 แม้จะมีความวุ่นวายจากสงครามการค้าและนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ใน Weekly Buzz สัปดาห์นี้ เรามาดูตัวเลขสำคัญที่จะเผยให้เราเห็นความจริงท่ามกลางเสียงรบกวนต่างๆ กัน
เกิดอะไรขึ้น?
ก่อนอื่น มาดูสรุปเหตุการณ์ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา

บรรดา Trader ตั้งชื่อเล่นใหม่ให้กับตลาดในช่วงนี้ว่า “TACO” ย่อมาจาก Trump Always Chickens Out แปลว่า "ทรัมป์ชอบขู่ แต่ไม่เคยเอาจริง" แม้ชื่อจะติดตลก แต่สะท้อนพฤติกรรมของ Trump อย่างชัดเจน เริ่มจากการที่เขาชอบขู่ขึ้นภาษีอย่างรุนแรง ทำให้ตลาดแตกตื่นในช่วงแรก จากนั้นก็กลับลำหรือลดความรุนแรงลงเมื่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจเริ่มส่งผล ซึ่งในอดีต การประกาศขึ้นภาษีเคยทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง แต่ตอนนี้ปฏิกิริยาของตลาดเริ่มเงียบลงเรื่อยๆ เพราะบรรดา Trader เริ่มมองว่าเดี๋ยวก็จะมีการกลับลำอีก
ยกตัวอย่างเช่น การประกาศขึ้นภาษีในเดือน เม.ย. ที่ Trump เรียกว่า “Liberation Day” ทำให้ดัชนี S&P 500 ร่วงทันที แต่เพียง 7 วันต่อมา เมื่อ Trump ประกาศชะลอการเก็บภาษีเป็นเวลา 90 วัน ตลาดกลับพุ่งขึ้นถึง 9.5% ภายในวันเดียว ซึ่งถือเป็นการพุ่งแรงที่สุดตั้งแต่ปี 2008 และแม้สัปดาห์ที่แล้วจะยังมีความวุ่นวายทางนโยบาย แต่ดัชนี S&P 500 ยังสามารถปิดบวกได้ถึง 6.2% ในเดือน พ.ค. ซึ่งนับเป็นเดือนที่ดีที่สุดตั้งแต่ พ.ย. 2023
อย่างไรก็ตาม บริษัทต่างๆ น่าจะกำลังรู้สึกถึงแรงกดดัน โดยบทวิเคราะห์ของ Reuters ชี้ว่า มาตรการภาษีนำเข้าทำให้ภาคธุรกิจสูญเสียรายได้และมีต้นทุนเพิ่มขึ้นรวมแล้วกว่า 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แล้วทำไมตลาดถึงไม่ตอบสนองรุนแรงเท่าเดิม? คำตอบอยู่ที่ ‘ปัจจัยพื้นฐาน’ โดยกำไรของบริษัทสหรัฐใน Q1/2025 เพิ่มขึ้นกว่า 13% YoY โดยมีบริษัทเด่นๆ เช่น Nvidia ที่ผลประกอบการล่าสุดออกมาดีกว่าคาด สะท้อนให้เห็นว่าท่ามกลางความวุ่นวายต่างๆ ภาคธุรกิจยังคงเติบโตและมุ่งสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ต่อไป
Key Takeaway
แม้การเปลี่ยนนโยบายกลับไปกลับมาอาจสร้างความหงุดหงิดให้กับ Trader ที่พยายามจับจังหวะตลาด แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาว มีวิธีรับมือที่ง่ายกว่า นั่นก็คือการใช้ความผันผวนเป็นโอกาส ซึ่งก็คือการลงทุนอย่างสม่ำเสมอโดยไม่สนข่าวพาดหัว โดยใช้กลยุทธ์ Dollar-cost Averaging (DCA) ที่จะทำให้คุณซื้อหุ้นได้มากขึ้นเมื่อราคาร่วงลงเพราะความกลัว
(หากคุณกำลังมองหาพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีทั่วโลกเพื่อการลงทุนระยะยาว พอร์ต General Investing ของเราอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม 😎)
💡 Investors’ Corner: ตลาดเกิดใหม่ไม่ได้มีแค่เรื่องการเติบโตอีกต่อไป
ก่อนหน้านี้ เศรษฐกิจในตลาดเกิดใหม่มักถูกมองว่าเติบโตและผันผวนสูง แต่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ เพราะเริ่มกลายเป็นแหล่งสร้างรายได้ที่จริงจังเช่นกัน
ตัวเลขสะท้อนภาพนี้ให้เห็นอย่างชัดเจน โดยประมาณ 85% ของบริษัทในตลาดเกิดใหม่จ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเทียบเท่าบริษัทในประเทศพัฒนาแล้ว และเกือบ 40% ของบริษัทเหล่านี้ให้เงินปันผลมากกว่า 3% ซึ่งนับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา เงินปันผลของบริษัทในตลาดเกิดใหม่เติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 12% แซงหน้าตลาดพัฒนาแล้วไปค่อนข้างไกล

ธรรมาภิบาลของที่ดีขึ้นและงบดุลที่แข็งแกร่งขึ้น ทำให้หลายบริษัทในตลาดเกิดใหม่ไม่จำเป็นต้องนำกำไรทั้งหมดไปขยายธุรกิจอีกต่อไป โดยพวกเขาเริ่มมี ‘กระแสเงินสดส่วนเกิน’ และนำไปจ่ายคืนให้กับผู้ถือหุ้นแทน
โดยธรรมชาติแล้ว ตลาดเกิดใหม่ก็คือตลาดที่กำลังเติบโตและพัฒนาอยู่ตลอด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้กำลังท้าทายความคิดแบบเก่าที่ว่า “จะเลือกลงทุนเพื่อการเติบโตหรือเพื่อรายได้ที่มั่นคง” หรือ “จะเลือกตลาดพัฒนาแล้วหรือตลาดเกิดใหม่” โดยเมื่อเรามองตลาดในภาพกว้าง การกระจายการลงทุนไม่ได้แค่ช่วยกระจายความเสี่ยงในภูมิภาคต่างๆ เท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรามีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีจากหลากหลายมิติอีกด้วย
(หากคุณกำลังมองหาวิธีง่ายๆ ที่จะเริ่มลงทุนในตลาดเกิดใหม่ Flexible Portfolio ของเราอาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ)
เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize
🎓 Simply Finance: ตลาดเกิดใหม่

ตลาดเกิดใหม่หมายถึงประเทศที่มีเศรษฐกิจอยู่ระหว่าง ‘กำลังพัฒนา’ กับ ‘พัฒนาแล้ว’ เช่น จีน อินเดีย หรือบราซิล โดยตลาดเหล่านี้มักมีโอกาสการเติบโตที่สูง เนื่องจากเศรษฐกิจกำลังขยายตัว แต่อาจมาพร้อมกับความผันผวนที่มากขึ้น เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความผันผวนของค่าเงิน และสถาบันต่างๆ ที่ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา