CIO Insights: จับชีพจรกลุ่มธุรกิจ Healthcare
หุ้นกลุ่มธุรกิจ Healthcare ไม่ได้รับความนิยมมากนักในช่วงที่ผ่านมา โดยให้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดโดยรวม เนื่องจากนักลงทุนหันไปให้ความสำคัญกับธีม AI และหุ้นวัฏจักรมากกว่า อย่างไรก็ตาม หากมองลึกลงไป จะพบว่า ยังมีโอกาสซ่อนอยู่ในกลุ่มธุรกิจนี้ ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของผลประกอบการ Valuation ที่ค่อนข้างถูก รวมถึงแรงขับเคลื่อนระยะยาวที่ยังแข็งแกร่ง ใน CIO Insights ฉบับนี้ เราจะพาคุณเจาะลึกกลุ่มธุรกิจ Healthcare และเหตุผลที่นักลงทุนควรมีหุ้นกลุ่มนี้อยู่ในพอร์ตการลงทุนระยะยาว
3 Key takeaways
- หุ้นกลุ่ม Healthcare ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดโดยรวมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากแรงกดดันจากเศรษฐกิจโดยรวมและปัจจัยเฉพาะกลุ่ม นับตั้งแต่ปลายปี 2023 หุ้นกลุ่มนี้ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดโดยรวมถึงราว 45% แม้จะสามารถประคองตัวได้ดีในช่วงตลาดปรับฐานปี 2022 แต่ก็ไม่สามารถฟื้นตัวตามตลาดโดยรวมได้ในช่วงหลัง เพราะนักลงทุนมีการ Rotation ไปยังกลุ่ม AI และวัฏจักร ขณะที่ปัจจัยเฉพาะกลุ่ม เช่น กำไรที่อ่อนตัว การกลับสู่ภาวะปกติหลัง COVID-19 และความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ก็ยังเป็นแรงกดดันต่อ Sentiment ของนักลงทุน
- ผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าตลาดโดยรวม อาจเกิดจากปัจจัยเชิงวัฏจักร มากกว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง การวิเคราะห์ของเราชี้ว่าการปรับฐานของกลุ่ม Healthcare สะท้อนถึงกำไรที่อ่อนตัวลงและการจัดพอร์ตของนักลงทุนในระยะสั้น มากกว่าจะเป็นสัญญาณของการชะลอตัวของ Demand หรือความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว และหาก Momentum กำไรกลับมาแข็งแกร่งขึ้น (ได้แรงหนุนจากนวัตกรรมใหม่ๆ และประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจาก AI โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจย่อยอย่างเภสัชกรรมและไบโอเทค) ก็อาจเป็นแรงกระตุ้นให้ความสนใจของนักลงทุนกลับคืนมา
- หุ้นกลุ่ม Healthcare ยังมีคุณสมบัติป้องกันความเสี่ยงและมีโอกาสเติบโตในระยะยาว แม้ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันจะเอื้อต่อกลุ่มวัฏจักรมากกว่า แต่กลุ่ม Healthcare ยังคงมีจุดแข็งเฉพาะตัว คือ Demand ที่ไม่ขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจและโอกาสเติบโตจากนวัตกรรม ในขณะที่นโยบายของรัฐบาลสหรัฐที่พยายามควบคุมราคายาและค่าใช้จ่ายด้าน Healthcare อาจกดดันบางกลุ่มธุรกิจที่มีรายได้ส่วนใหญ่ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม Demand ของ Healthcare ทั่วโลกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ภาระโรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในประเทศพัฒนาแล้ว และการเข้าถึงบริการที่ดีขึ้นในตลาดเกิดใหม่ ดังนั้น สำหรับนักลงทุนระยะยาว หุ้นกลุ่ม Healthcare จึงยังเป็นสินทรัพย์ที่มีทั้งความทนทานและศักยภาพการเติบโตในระยะยาว
ปัจจัยระดับมหภาคและจุลภาค กดดันหุ้นกลุ่ม Healthcare ในช่วงที่ผ่านมา
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม Healthcare ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดโดยรวม โดยตั้งแต่ปลายปี 2023 หุ้นกลุ่มนี้ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดัชนี S&P 500 ราว 45% แม้จะมีข่าวดีจากการพัฒนายา GLP-1 (ยารักษาเบาหวานและลดน้ำหนัก) ที่ช่วยหนุนราคาหุ้นของบริษัทยาขนาดใหญ่อย่าง Eli Lilly และ Novo Nordisk
ปัจจัยระดับมหภาค: ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ ทำให้นักลงทุน Rotation ไปยังหุ้นกลุ่มวัฏจักร
สาเหตุหลักที่ทำให้หุ้น Healthcare ทำผลตอบแทนได้ต่ำกว่าตลาดโดยรวมในช่วงที่ผ่านมา คือ ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ ทำให้นักลงทุนหันไปหาหุ้นกลุ่มวัฏจักรที่อ่อนไหวต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า เช่น เทคโนโลยี อุตสาหกรรม และการเงิน ขณะที่หุ้นกลุ่ม Defensive อย่าง Healthcare มักจะโดดเด่นในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรือมีความไม่แน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้นเทคโนโลยีที่ได้แรงหนุนจากเทรนด์ AI โดยคาดกันว่า หุ้นกลุ่ม Magnificent Seven จะมีกำไรเติบโตถึง 40% YoY ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี S&P 500 ที่โตเพียง 9% นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและการเงินก็ยังได้รับประโยชน์จากการลงทุนภาคเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐ และแนวโน้มการลดกฎระเบียบต่างๆ ภายใต้รัฐบาล Trump
ทั้งนี้ กราฟ 1 ด้านล่าง แสดงให้เห็นว่านักลงทุนให้น้ำหนักกับหุ้นกลุ่มวัฏจักรมากกว่า จนส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนของหุ้นกลุ่ม Defensive อย่าง Healthcare

ปัจจัยระดับจุลภาค: การ Reset กำไรหลัง COVID-19 ท่ามกลางแรงกดดันเฉพาะกลุ่ม
นอกจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจแล้ว ยังมีปัจจัยเฉพาะกลุ่มที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่ม Healthcare ได้แก่
- หลายกลุ่มธุรกิจย่อยมีกำไรลดลง หลัง Demand จาก COVID-19 ลดลง
- กลุ่มไบโอเทคเจอปัญหาการระดมทุนที่ยากขึ้น การอนุมัติยาจาก FDA ที่ช้าลง และการควบรวมกิจการ (M&A) ที่ลดลง
- บริษัทยาขนาดใหญ่มีกำไรลดลงจากช่วง COVID-19 และกำลังเข้าสู่ช่วง ‘Patent Cliff’ (สิทธิบัตรยาหมดอายุ ทำให้มีสินค้าคู่แข่งที่ถูกกว่า) แม้ยากลุ่ม GLP-1 จะช่วยลดผลกระทบได้บางส่วน
- กลุ่มโรงพยาบาลต้องรับภาระต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ กลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์และวิจัย เติบโตช้าลงหลังยุค COVID-19
ตามที่เห็นในกราฟ 2 ว่า กลุ่มธุรกิจย่อยส่วนใหญ่ของกลุ่ม Healthcare มีคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2022-2024 แต่ตัวเลขนี้กำลังเริ่มฟื้นตัวในบางกลุ่มธุรกิจสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจเภสัชกรรมและไบโอเทค ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมกันเกือบ 60% ของกลุ่ม Healthcare ทั้งหมด

กลุ่ม Healthcare มีแนวโน้มจะฟื้นตัว เนื่องจากการปรับฐานในรอบนี้สะท้อนถึงปัจจัยเชิงวัฏจักรมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
การคาดการณ์กำไรล่วงหน้าของกลุ่ม Healthcare อยู่ที่ประมาณ 8% ซึ่งใกล้เคียงกับดัชนี S&P 500 ที่ 9% สะท้อนให้เห็นแนวโน้มกำไรที่เริ่มฟื้นตัวหลังผ่านช่วงที่อ่อนแอ และอาจเป็นสัญญาณว่าหุ้นกลุ่มนี้กำลังเริ่มกลับตัว โดยเฉพาะหากแรงกดดันเชิงวัฏจักรเริ่มผ่อนคลาย
ขณะที่ Valuation ก็ปรับลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจมากขึ้น ดังที่เห็นในกราฟ 3 ว่า ปัจจุบัน หุ้นกลุ่ม Healthcare มีค่า Forward P/E เพียง 16 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 16.5 เท่า และต่ำกว่าดัชนี S&P 500 ที่ 22.3 เท่า (สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 18.6 เท่า) ซึ่งหาก Momentum กำไรของหุ้นกลุ่ม Healthcare ยังคงดำเนินต่อไป Valuation ในระดับปัจจุบันก็อาจเป็นจุดเข้าลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาสินทรัพย์ที่มีทั้งความมั่นคงและโอกาสเติบโตในระยะยาว

ในระยะข้างหน้า กำไรของกลุ่ม Healthcare น่าจะเริ่มฟื้นตัวจากช่วงอ่อนแอหลัง COVID-19
ตามที่เห็นในกราฟ 2 ว่า กำไรของกลุ่ม Healthcare กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว โดยเฉพาะในกลุ่มเภสัชกรรมและไบโอเทค โดยการฟื้นตัวครั้งนี้ได้รับแรงหนุนจากช่องทางการสร้างรายได้ใหม่ๆ และ Margin กำไรที่ยังคงแข็งแกร่ง
- ด้านรายได้: นวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ได้เปิดโอกาสการเติบโตครั้งใหม่ โดยความสำเร็จของยาที่เพิ่งเปิดตัว เช่น ยา GLP-1 สำหรับโรคอ้วน และยารักษาโรคอัลไซเมอร์ กำลังทำให้เกิด Demand และโอกาสเชิงพาณิชย์มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเภสัชกรรม
- ด้านต้นทุน: Margin กำไรยังอยู่ในระดับที่แข็งแรง โดยคาดการณ์ Margin กำไรของกลุ่มเภสัชกรรมยังอยู่ที่ประมาณ 30% ส่วนในกลุ่มไบโอเทค แม้ Margin กำไรจะลดลงจากจุดสูงสุดในปี 2021-2022 แต่ก็ยังถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และหากมีการนำ AI มาใช้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง Productivity ที่สูงขึ้นก็จะช่วยเพิ่ม Margin และการเติบโตของกำไรได้อีก
ทั้งนี้ แม้ตลาดจะยังกังวลกับปัจจัยลบบางประการ แต่ความเสี่ยงส่วนใหญ่ดูเหมือนจะถูกสะท้อนในราคาหุ้นไปแล้ว หรืออาจไม่มากพอที่จะขัดขวางการฟื้นตัวของกลุ่ม Healthcare โดยรวมได้ ตามเหตุผลดังต่อไปนี้
- การตัดงบประมาณด้าน Healthcare ของภาครัฐจากกฎหมาย One Big Beautiful Bill (OBBB) ที่จะลดงบ Medicaid รวมกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 10 ปีข้างหน้า อาจสร้างแรงกดดันต่อกลุ่มโรงพยาบาลและบริษัทประกันสุขภาพ รวมถึง Demand โดยรวม อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการตัดงบนี้คิดเป็นปีละประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์ฯ หรือ 2% ต่อปีเท่านั้น เทียบกับอัตราการเติบโตของการใช้จ่ายด้านสุขภาพที่คาดว่าจะโตเฉลี่ย 5.8% ต่อปีในช่วงเดียวกัน (1)
- ปัญหา Patent Cliff อาจกดดันรายได้ของบริษัทเภสัชกรรมขนาดใหญ่ เมื่อยาของบริษัทอื่นๆ เข้าสู่ตลาด อย่างไรก็ดี เหตุการณ์เหล่านี้มักมีการคาดการณ์ล่วงหน้า และน่าจะถูกสะท้อนในราคาหุ้นแล้ว
- การลดจำนวนเจ้าหน้าที่ของ FDA อาจทำให้กระบวนการอนุมัติยาช้าลงในระยะสั้น โดยเฉพาะสำหรับบริษัทเภสัชกรรมและไบโอเทค อย่างไรก็ตาม หน่วยงาน FDA อยู่ระหว่างการพิจารณานำ AI มาใช้เพื่อช่วยเร่งกระบวนการอนุมัติยา (2)
- ความเสี่ยงจากนโยบายภาษีนำเข้า ยังคงเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับระบบ Supply Chain ของกลุ่ม Healthcare ทั่วโลก
Demand ที่ยั่งยืน, นวัตกรรม และคุณสมบัติป้องกันความเสี่ยง คือ ปัจจัยสนับสนุนกลุ่ม Healthcare ในระยะยาว
เมื่อมองไปข้างหน้า Demand ของกลุ่ม Healthcare ทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงขับเคลื่อนจากปัจจัยเชิงโครงสร้างเป็นหลัก โดยปัจจุบัน สหรัฐยังคงเป็นประเทศที่ใช้จ่ายด้าน Healthcare สูงที่สุดในโลกราว 5 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ต่อปี หรือคิดเป็น 17% ของ GDP แม้กฎหมาย OBBB จะเน้นควบคุมค่าใช้จ่าย แต่ก็ไม่น่าจะส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโตได้มากนัก ยิ่งไปกว่านั้น ความไม่มีประสิทธิภาพที่ฝังรากลึกในระบบสาธารณสุขของสหรัฐ และต้นทุนพื้นฐานที่ค่อนข้างสูง หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญน่าจะเกิดขึ้นได้อย่างช้าๆ
นอกเหนือจากสหรัฐ ปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น สังคมผู้สูงอายุ และจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น (เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ) ก็กำลังผลักดันให้ Demand ของ Healthcare เติบโตอย่างมั่นคง (หรืออาจเร่งตัวขึ้น) โดยข้อมูลจาก OECD ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2020-2023 ค่าใช้จ่ายด้าน Healthcare ในประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.7% (3) ซึ่งมากกว่าสหรัฐที่เติบโต 4.1%
สำหรับตลาดเกิดใหม่ การเพิ่มขึ้นของรายได้ การขยายตัวของชุมชนเมือง และการลงทุนจากภาครัฐ ล้วนสนับสนุน Demand ของกลุ่ม Healthcare เช่นกัน โดยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การใช้จ่ายด้าน Healthcare ต่อหัวในประเทศรายได้ปานกลางและปานกลาง-สูง เติบโตเฉลี่ยปีละ 8-9% ซึ่งหากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง การใช้จ่ายด้าน Healthcare ก็มีแนวโน้มเติบโตอย่างน้อยเท่ากับการเติบโตของ GDP หรืออาจเร็วกว่าในบางกรณี ดังที่เห็นในกราฟ 4 ว่า ประเทศเหล่านี้ยังมี ‘ช่องว่าง’ อีกมากในการไล่ตามประเทศพัฒนาแล้วให้ทัน

นอกจากนี้ นวัตกรรมใหม่ๆ ก็ยิ่งตอกย้ำแนวโน้มที่สดใสของกลุ่ม Healthcare ในระยะยาว ดังนี้
- ยารุ่นใหม่อย่าง GLP-1 ของ Eli Lilly และ Novo Nordisk ช่วยกระตุ้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และกำลังสร้างรายได้มหาศาลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
- กลุ่มธุรกิจ Healthcare กำลังใช้ AI เพื่อเร่งขั้นตอนวิจัยและพัฒนา ตัวอย่างเช่น Insilico Medicine บริษัท Startup ด้านไบโอเทคที่ผลักดันยา (ที่ค้นพบโดย AI) สำหรับโรคปอด ให้เข้าสู่การทดลองทางคลินิกในระยะกลาง ส่วนบริษัทยาขนาดใหญ่อย่าง Amgen ก็ใช้ AI เพื่อร่นระยะเวลาการพัฒนายาเช่นกัน
- บริษัท Healthcare ต่างๆ หันมาใช้ AI มากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และลดแรงกดดันด้านต้นทุน เช่น การร่วมมือกันระหว่าง GE HealthCare กับ NVIDIA เพื่อพัฒนา AI สำหรับการวินิจฉัยภาพทางการแพทย์ หรือ Takeda Pharmaceutical ที่ใช้ AI คัดกรองผู้ป่วยให้เหมาะสมกับการทดลองทางคลินิกมากขึ้น
สุดท้าย กลุ่ม Healthcare ยังคงมีคุณสมบัติป้องกันความเสี่ยงในช่วงเศรษฐกิจขาลง และยังคงมีความสำคัญสำหรับพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดี เช่น พอร์ต General Investing ของเราที่ยังคงลงทุนในกลุ่ม Healthcare ควบคู่ไปกับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ แม้ปัจจุบัน การบริหาร Asset Allocation ในพอร์ตยังคงเอนไปทางกลุ่มเติบโต เช่น เทคโนโลยีและอุตสาหกรรม แต่กลุ่ม Healthcare ก็ยังคงมีความสำคัญในฐานะสินทรัพย์ Defensive และมีโอกาสเติบโต โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว หรือ Sentiment ในตลาดเริ่มเปลี่ยนทิศทาง
สรุปคือ การปรับฐานของกลุ่ม Healthcare ครั้งนี้ อาจกลายเป็นจุดเข้าลงทุนที่น่าสนใจ เพราะเป็นกลุ่มที่มีทั้งคุณสมบัติป้องกันความเสี่ยงและศักยภาพการเติบโตจากนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งหากแนวโน้มกำไรของกลุ่มธุรกิจย่อยหลักๆ เริ่มฟื้นตัว กลุ่ม Healthcare ก็ดูพร้อมสำหรับการเติบโตครั้งใหม่ในระยะยาว
References
- Keehan, S. P., Madison, A. J., Poisal, J. A., Cuckler, G. A., Smith, S. D., Sisko, A. M., Fiore, J. A., & Rennie, K. E. (2025). National Health Expenditure Projections, 2024–33: Despite Insurance Coverage Declines, Health To Grow As Share Of GDP. Health Affairs, 44(7). Retrieved from: https://www.healthaffairs.org/doi/10.1377/hlthaff.2025.00545
- Jewett, C. (2025). F.D.A. to Use A.I. in Drug Approvals to 'Radically Increase Efficiency'. The New York Times. Retrieved from: https://www.nytimes.com/2025/06/10/health/fda-drug-approvals-artificial-intelligence.html
- Wager, E., McGough, M., Rakshit, S., & Cox, C. (2025). How does health spending in the U.S. compare to other countries? Peterson-KFF Health System Tracker. Retrieved from: https://www.healthsystemtracker.org/chart-collection/health-spending-u-s-compare-countries/
หมายเหตุ:
การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน; ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต; การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ข้อมูลนี้ไม่ถือเป็นคำเสนอ คำแนะนำ คำเชื้อเชิญ หรือการชักชวนให้ท่านซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือเข้าทำธุรกรรมใดๆ
ข้อมูลนี้ไม่ได้จัดเตรียมขึ้นโดยคำนึงถึงสถานการณ์ส่วนบุคคลของท่าน (เช่น วัตถุประสงค์การลงทุน สถานการณ์ทางการเงิน หรือความต้องการโดยเฉพาะ) ท่านควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาด้านการเงิน บัญชี ภาษี กฎหมาย และด้านอื่นๆ ของท่านเอง