CIO Insights: นอกจากหุ้นเทคโนโลยี ยังมีโอกาสอะไรในตลาดสหรัฐ

29 February 2024
Stephanie Leung
Group CIO

ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงร้อนแรงต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง 

อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าและราคาหุ้นที่อยู่ในระดับสูง ทำให้เกิดคำถามสำคัญสำหรับนักลงทุน คือ เรายังควรลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในช่วงนี้หรือไม่? และยังมีหุ้นกลุ่มไหนที่มีโอกาสทำผลงานได้ดีกว่าตลาดในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้? 

CIO Insights เดือนนี้ เราจึงอยากพานักลงทุนสำรวจโอกาสและความเสี่ยงในตลาดหุ้นสหรัฐว่ามีอะไรบ้าง

4 Key takeaways:

  • นับตั้งแต่ต้นปี 2023 หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นโดยรวม โดยมีผลตอบแทนอยู่ที่ 68% ซึ่งมากกว่าดัชนี S&P 500 ที่ 32% ในช่วง 13 เดือนที่ผ่านมา โดยในระยะยาว กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยียังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่อาจเริ่มมีความน่าดึงดูดน้อยลงในระยะสั้น เพราะราคาที่สูง รวมถึงการถือครองของนักลงทุนที่ค่อนข้างสูงในหุ้นกลุ่มนี้
  • นอกจากกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจ Healthcare มีความน่าสนใจและอาจมี Upside ในระยะข้างหน้า เพราะมีโอกาสที่กำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งและราคายังอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล อีกทั้งการถือครองของนักลงทุนยังไม่ได้สูงมากนัก
  • ในกลุ่มธุรกิจที่ไม่ค่อยได้รับความนิยม กลุ่มธุรกิจพลังงานถือว่าโดดเด่น เพราะการคาดการณ์กำไรที่ต่ำทำให้ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ต่ำไปด้วย อย่างไรก็ตาม กำไรของหุ้นกลุ่มนี้ขึ้นอยู่กับวัฏจักรเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก หากเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าคาดหรือเมื่อความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์มีเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น หุ้นกลุ่มนี้ก็จะได้รับผลประโยชน์และอาจมี Upside มากกว่า Downside
  • เมื่อพิจารณาผ่านมุมมองของ ERAA™ ผลตอบแทนของหุ้นแต่ละกลุ่ม จะแตกต่างกันไปใ นแต่ละภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้นพอร์ต General Investing ของเรา จึงกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ และบริหาร Asset Allocation ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการสร้างผลตอบแทน โดย ERAA™ ได้ Overweight กลุ่มธุรกิจ Healthcare และ Overweight กลุ่มธุรกิจพลังงานเล็กน้อย และให้น้ำหนักหุ้นในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีตามน้ำหนักในดัชนี Benchmark* (Market-weight)  

กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี: ยังมีโอกาสในระยะยาว แม้จะมีความน่ากังวลในระยะสั้น

ทั้งนี้ การวิเคราะห์หุ้นสหรัฐจะต้องพิจารณาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ พื้นฐาน, ราคา และการถือครองของนักลงทุน (Net Overweight, Net Underweight หรือ Neutral)

  • พื้นฐาน หมายถึงสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทหรือกลุ่มธุรกิจนั้นๆ รวมถึงผลตอบแทนในอดีตและโอกาสเติบโตในอนาคต
  • ราคา หมายถึงการประเมินราคาหุ้นในกลุ่มธุรกิจนั้นๆ ว่าถูกหรือแพงเมื่อเทียบกับสถิติในอดีต รวมถึงเปรียบเทียบกับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ
  • การถือครองของนักลงทุน หมายถึงการวัดสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนว่ามีการ Net Overweight หรือ Net Underweight ในกลุ่มธุรกิจนั้น ซึ่งจะช่วยให้เราวัด Sentiment ของตลาดได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าการถือครองของนักลงทุนมีการ Net Overweight กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แสดงว่านักลงทุนมีสัดส่วนการลงทุนที่สูงในกลุ่มธุรกิจนั้น ทำให้เม็ดเงินใหม่ที่จะช่วยดันตลาดขึ้นมีน้อยลงและทำให้ Upside มีจำกัด 

โดยทั่วไป กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มบริการสื่อสาร มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีโอกาสทำกำไรได้ค่อนข้างดีในปีนี้ (แต่อาจไม่สูงเท่าปีที่แล้ว)

จากตารางด้านล่าง กลุ่มธุรกิจเหล่านี้มีอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น Apple, Microsoft และ Nvidia มีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ถึง 16% ต่อปี ระหว่างปี 2007 ถึง 2022 ขณะที่ หุ้นกลุ่มบริการสื่อสารอย่าง Alphabet และ Meta มีการเติบโตของ EPS ราว 8% ต่อปี

EPS ของทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจนี้เติบโตมากกว่า EPS ของดัชนี S&P 500 โดยรวม ซึ่งอยู่ที่ 6.6% ต่อปี ในช่วงเวลาเดียวกัน

สาเหตุที่บริษัทในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีมีกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เป็นเพราะในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา พวกเขาได้ประโยชน์จากการที่เทคโนโลยี Digital และ Internet ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย และขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มี Margin ที่สูงขึ้น เพราะโดยธรรมชาติของกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี เป็นกลุ่มธุรกิจที่สามารถขยายตัวได้ดี (Scalable) และยังมีความสามารถสูงในการกำหนดราคาสินค้า

ยิ่งไปกว่านั้น การใช้งาน AI ที่กำลังแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เหล่านี้น่าจะได้ประโยชน์ต่อไปในระยะยาว (อ่านเพิ่มเติมได้ใน CIO Insights: จะลงทุน AI อย่างไร ในฐานะนักลงทุนระยะยาว)

อย่างไรก็ตาม หากคุณพิจารณาปัจจัยระยะสั้น เช่น ราคา หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอาจมีราคาค่อนข้างสูงแล้ว เพราะมีค่า Forward P/E อยู่ที่ 36.5 เท่า ซึ่งเหนือกว่าค่าเฉลี่ย 15 ปีที่ 21.2 เท่า ส่วนกลุ่มธุรกิจบริการสื่อสาร ยังมีราคาค่อนข้างสมเหตุสมผลกว่าที่ 18.6 เท่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 15 ปีที่ 17.2 เท่า

ปัจจัยสุดท้าย คือ การถือครองของนักลงทุน โดยตารางด้านล่างแสดงให้เห็นว่านักลงทุนจำนวนมากแห่เข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสัดส่วนที่สูงแล้ว ซึ่งการสำรวจผู้จัดการกองทุนทั่วโลกของ Bank of America (BofA) พบว่านักลงทุนยังคงมีมุมมอง Bullish อย่างเต็มที่ต่อกลุ่มธุรกิจนี้ ทำให้สัดส่วนการ Net Overweight ของหุ้นเทคโนโลยีแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2020 ซึ่งโดยปกติแล้ว ยิ่งนักลงทุนมีสัดส่วนการถือครองมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

บทสรุป: กลุ่มเทคโนโลยียังคงเป็นการลงทุนที่ดีในระยะยาว แต่เนื่องจากทั้งราคาและสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนอยู่ในระดับสูงแล้ว จึงมีความเป็นไปได้ว่า ในระยะข้างหน้า ราคาหุ้นอาจมีการปรับฐานเพื่อที่จะไปต่อ (Healthy Correction) โดยปัจจุบัน สัดส่วนการลงทุนของ ERAA™ ในหุ้นกลุ่มนี้สอดคล้องตามน้ำหนักในดัชนี Benchmark* (Market-weight) จากที่เคย Overweight ในการทำ Re-optimisation ครั้งล่าสุด เนื่องจากมูลค่าตลาด (Market Cap) ของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นตลอด 13 เดือนที่ผ่านมา ทำให้น้ำหนักของหุ้นกลุ่มนี้ในดัชนี Benchmark* เพิ่มขึ้นจนใกล้เคียงสัดส่วนที่ ERAA™ เคยกำหนดไว้

กลุ่มธุรกิจ Healthcare: การเติบโตยังน่าสนใจ ในราคาที่สมเหตุสมผล

กลุ่มธุรกิจ Healthcare มีความน่าสนใจ เพราะเป็นกลุ่มธุรกิจที่มักจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนี S&P 500 รวมถึงมีการเติบโตที่มั่นคงและมีราคาที่สมเหตุสมผล

คล้ายกับกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี กำไรของกลุ่มธุรกิจ Healthcare ค่อนข้างโดดเด่น โดยนับตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2022 กลุ่มธุรกิจ Healthcare มีอัตราการเติบโตของกำไรอยู่ที่ 8.2% ต่อปี ซึ่งมากกว่าดัชนีโดยรวม แต่ต่างจากกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีตรงที่ การเติบโตของกำไรค่อนข้างมั่นคงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจทั้งหมด

ทั้งนี้ คาดกันว่าราคาหุ้นในกลุ่มธุรกิจ Healthcare จะพลิกกลับมาดีในปี 2024 หลังมีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่ามาตรฐานในปี 2023 เนื่องจากปีที่แล้ว มีปัจจัยลบด้านฐานกำไร (Base Effect) ที่ค่อนข้างสูงจากช่วง COVID-19 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก

จากตารางด้านล่าง จะพบว่าการเติบโตของ EPS ในกลุ่มธุรกิจ Healthcare อาจสูงกว่าตลาดโดยรวมและสถิติในอดีต เพราะนอกจากจะมีฐานกำไรปี 2023 ที่ค่อนข้างเป็นใจแล้ว ยังได้รับแรงขับเคลื่อนจากนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพชนิดใหม่ๆ เช่น ยาลดน้ำหนัก

นอกจากนี้ ราคาหุ้นในกลุ่มธุรกิจ Healthcare ยังค่อนข้างสมเหตุสมผล โดยมีค่า Forward P/E อยู่ที่ 19.3 เท่า ซึ่งถึงแม้จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 16.6 เท่า แต่ยังต่ำกว่ากลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีที่ 36.5 เท่า และดัชนี S&P 500 ที่ 24.2 เท่า

ในส่วนของการถือครองของนักลงทุน แม้ผลสำรวจของ BofA จะบ่งชี้ว่าบรรดาผู้จัดการกองทุนมี Net Overweight ในกลุ่มธุรกิจ Healthcare แต่ยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี

บทสรุป: กลุ่มธุรกิจ Healthcare อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยราคาหุ้นที่สมเหตุสมผล รวมถึงนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และ Trend สังคมผู้สูงอายุในระยะยาว จะช่วยให้กำไรของกลุ่มกลับมาเป็นปกติในระยะข้างหน้า และโดยธรรมชาติของกลุ่มธุรกิจ Healthcare ที่ค่อนข้าง Defensive จะช่วยปกป้องพอร์ตในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนได้ด้วย 

ปัจจุบัน ERAA™ ได้ Overweight หุ้นในกลุ่มธุรกิจ Healthcare อยู่แล้ว แต่หากคุณอยากมีส่วนร่วมในกลุ่มธุรกิจ  Healthcare มากขึ้น คุณอาจพิจารณาธีม Healthcare Innovation ที่อยู่ภายใต้ Thematic Portfolio ของเราเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตของคุณได้

กลุ่มธุรกิจพลังงาน: อาจเป็น ‘Wild Card’ สำหรับนักลงทุน

ตามข้อมูลเศรษฐกิจ เรามองว่ากลุ่มธุรกิจพลังงานอาจเป็น ‘Wild Card’ ที่อาจสร้างความประหลาดใจให้นักลงทุน จากที่เราเคยกล่าวไว้ใน 2024 H1 Macro Outlook Part 1 ว่าความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อยู่ในระดับสูงและ Supply น้ำมันที่ตึงตัว อาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทในกลุ่มธุรกิจพลังงาน แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกก็อาจฉุดรั้งกลุ่มธุรกิจนี้เช่นกัน

แม้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะทำให้คาดการณ์กำไรของกลุ่มธุรกิจพลังงานอยู่ที่ -7% ในปีนี้ แต่ที่ผ่านมา ความผันผวนของกำไรในกลุ่มธุรกิจพลังงานนั้นสูงกว่ากลุ่มธุรกิจอื่นๆ (เห็นได้จากตารางที่ 1 ด้านบน) หมายความว่ากลุ่มธุรกิจพลังงานอาจมี Upside (รวมถึง Downside) ที่เราคาดไม่ถึง

นอกจากนี้ ราคาหุ้นในกลุ่มธุรกิจพลังงานยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ดังที่เห็นในตารางด้านล่าง โดยปัจจุบันกลุ่มพลังงานมีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าตามบัญชี (P/B ratio) อยู่ที่ 2.2 เท่า ซึ่งเท่ากับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ที่มี ROE เพียงครึ่งเดียวของกลุ่มธุรกิจพลังงานเท่านั้น และเมื่อพิจารณาค่า P/E ratio เรายังเห็นภาพที่สอดคล้องกัน นอกจากนี้ การถือครองของนักลงทุนตามการสำรวจของ BofA ยังอยู่ในระดับต่ำมาก โดยนักลงทุนยังคง Net Underweight หุ้นในกลุ่มธุรกิจนี้

บทสรุป: ราคาหุ้นในกลุ่มธุรกิจพลังงานยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับ ROE ซึ่งอาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุน หากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น โดย ERAA™ ได้ทำการ Overweight หุ้นในกลุ่มนี้เล็กน้อย เพราะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในช่วงที่เงินเฟ้อยังยืดเยื้อได้ 

การเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจอาจทำให้ผลตอบแทนของหุ้นผันผวน

เมื่อพิจารณาผ่านมุมมองของ ERAA™ เป็นเรื่องสำคัญที่เราควรเข้าใจว่าผลตอบแทนของแต่ละกลุ่มธุรกิจจะแตกต่างกันไปในแต่ละภาวะเศรษฐกิจ

จากตารางด้านล่าง เราจะเห็นว่าในภาวะ Stagflation แบบในปัจจุบัน (เศรษฐกิจหดตัว แต่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง) กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีจะให้ผลตอบแทนที่แข็งแกร่งทั้งการวัดแบบปกติ (Absolute) และปรับด้วยความเสี่ยง (Risk-adjusted) อย่างไรก็ตาม เมื่อภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ก็อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

เมื่อพิจารณาภาวะตลาดและเศรษฐกิจโลกโดยรวม พอร์ต General Investing ของเรา ยังมีการวางกลยุทธ์ที่ดีสำหรับภาวะเศรษฐกิจแบบปัจจุบันตามที่กล่าวไว้ข้างต้น และหาก ERAA™ ส่งสัญญาณว่าภาวะเศรษฐกิจเกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า (ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเข้าสู่ ‘Recession’ หรือ ‘Good Times’) เทคโนโลยีการลงทุนของเราก็จะปรับ Asset Allocation ของพอร์ตของคุณให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจแบบใหม่โดยอัตโนมัติ

สุดท้ายนี้ แม้เรายังต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดในระยะสั้น แต่กุญแจสำคัญของการสร้างความมั่งคั่ง คือ การยึดมั่นในแผนการลงทุนระยะยาวที่สามารถทนต่อความผันผวนของตลาดได้

โดยการ Stay Invested ในพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดี และมีระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตัวคุณ จะช่วยให้คุณสามารถคว้าโอกาสลงทุนที่ดีที่ผ่านเข้ามาได้ เพราะในท้ายที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการลงทุน คือ Time in The Market (ระยะเวลาในตลาด) ไม่ใช่ Timing The Market (การจับจังหวะตลาด) แต่อย่างใด

*หมายเหตุ:

Benchmark ที่เราใช้ในการเปรียบเทียบมาจาก MSCI All Country World Equity Index TRI ในส่วนของหุ้น และใช้ FTSE World Government Bond TRI ในส่วนของตราสารหนี้

การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน; ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

ข้อมูลนี้ไม่ได้จัดเตรียมขึ้นโดยคำนึงถึงสถานการณ์ส่วนบุคคลของท่าน และไม่ถือเป็นคำเสนอ คำแนะนำ คำเชื้อเชิญ หรือการชักชวนให้ท่านซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือเข้าทำธุรกรรมใดๆ


แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ