Weekly Buzz: แม้ Buffett จะวางมือ แต่หลักการของเขายังคงอยู่ ⏳

Warren Buffett ตำนานนักลงทุนผู้เปลี่ยนโรงงานทอผ้าที่กำลังจะล้มละลายให้กลายเป็นอาณาจักรธุรกิจมูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกาศเตรียมลงจากตำแหน่ง CEO ของ Berkshire Hathaway ในสิ้นปีนี้ หลังนั่งเก้าอี้ผู้นำบริษัทมายาวนานเกือบ 60 ปี
ในขณะที่นักลงทุนจำนวนมากกำลังหวั่นไหวกับมาตรการภาษีนำเข้า แต่เมื่อย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีต Buffett สามารถยึดมั่นในหลักการลงทุนของตัวเองได้ แม้ต้องเผชิญกับวิกฤติที่รุนแรงยิ่งกว่านี้ ทั้งความเสี่ยงจากสงครามนิวเคลียร์ในช่วงสงครามเย็น สงครามเวียดนาม สงครามอ่าว และการล่มสลายของสหภาพโซเวียต แต่ตลอดเวลานั้น Buffett ก็ยังคงเลือกลงทุนต่อไป
ผลลัพธ์คือ? ตามที่สำนักข่าว Barron's รายงาน หากราคาหุ้น Berkshire ปรับตัวลงมากถึง 99% แต่ก็จะยังให้ผลตอบแทนชนะดัชนี S&P 500 เพราะตั้งแต่ปี 1965 หุ้น Berkshire ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 19.9% ต่อปี เทียบกับ S&P 500 ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10.4% ต่อปี (รวมเงินปันผลที่นำไปลงทุนต่อ) และที่สำคัญไปกว่านั้น คือ หลักการที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งของ Buffett ได้ส่งอิทธิพลต่อนักลงทุนทั่วโลกมาแล้วหลายต่อหลายรุ่น
'สิ่งที่ Buffett ทิ้งไว้ให้กับนักลงทุน'
แม้ Buffett จะก้าวลงจากตำแหน่ง แต่ปรัชญาการลงทุนของเขายังคงใช้ได้กับทุกช่วงเวลา ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในภาวะใดก็ตาม
“เวลาคือเพื่อนแท้ของบริษัทคุณภาพดี” แนวทางการถือหุ้นระยะยาวของ Buffett ทำให้พลังของการทบต้น หรือ Compounding แสดงความมหัศจรรย์ออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยหุ้นที่สร้างผลตอบแทนมหาศาลให้กับเขาไม่ใช่หุ้นที่ซื้อมาขายไปอย่างรวดเร็ว แต่เป็นบริษัทที่เขาซื้อและถือไว้ตลอดหลายสิบปี เพื่อรอให้มูลค่าที่แท้จริงของบริษัทปรากฏออกมา
เมื่อ Buffett พบบริษัทที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันสูง เขาก็พร้อมที่จะปล่อยให้เวลาเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนผลตอบแทนในระยะยาว เช่น ในกรณีของ Coca-Cola ที่เขาเริ่มเข้าซื้อในปี 1988 และยังถืออยู่จนถึงปัจจุบัน ได้สร้างผลตอบแทน (รวมปันผล) ให้เขาแล้วกว่า 7,290%

“จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว” ตลอดช่วงเวลาที่ Buffett บริหาร Berkshire Hathaway เขาผ่านช่วงที่ตลาดปรับฐานมาแล้วกว่า 30 ครั้ง และตลาดหมีอีก 10 ครั้ง เช่น Black Monday ปี 1987 ฟองสบู่ดอทคอม และการระบาดของ COVID-19
ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่หนีออกจากตลาดในช่วงวิกฤติการเงินโลกปี 2008 แต่ Buffett กลับนำเงินมาลงทุน รวมถึงการลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ฯ ใน Goldman Sachs ซึ่งการลงทุนแบบสวนกระแสมหาชนอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ถือเป็นหัวใจของความสำเร็จของ Buffett
“ในระยะสั้น ตลาดคือผลเลือกตั้ง แต่ในระยะยาว ตลาดคือเครื่องชั่งน้ำหนัก” คำพูดของ Benjamin Graham อาจารย์ของ Buffett ที่เขายึดถือมาตลอด หมายความว่า ราคาหุ้นระยะสั้นจะสะท้อน Sentiment ของนักลงทุน แต่ในระยะยาวจะสะท้อนผลประกอบการจริงของธุรกิจ
แทนที่จะสนใจการเคลื่อนไหวของตลาดในระยะสั้น (เปรียบได้กับ ‘การลงคะแนนเสียง’) แต่ Buffett จะมองไปที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทในระยะยาว เช่น รายได้และกำไรของบริษัท (เปรียบได้กับ ‘การชั่งน้ำหนัก’) โดยในช่วงฟองสบู่ดอทคอมที่ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว Buffett กลับไม่ได้สนใจการเก็งกำไร แต่เลือกที่จะยึดมั่นในหลักการลงทุนของตัวเอง จนกระทั่งปี 2002 ตลาดก็กลับมาสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจ อย่างที่เขาเชื่อมาโดยตลอด
Key Takeaway
แม้การเกษียณของ Buffett อาจเป็นจุดสิ้นสุดของยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์การลงทุน แต่ ‘หลักคิดของเขา’ ยังคงอยู่ ซึ่งสำหรับคนทั่วไปที่อาจไม่มีเวลาวิเคราะห์หุ้นรายตัวแบบเขา Buffett แนะนำให้ลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าธรรมเนียมต่ำอย่าง ETF เพื่อคว้าโอกาสเติบโตไปกับตลาดโดยรวม โดยไม่จำเป็นต้องเลือกหุ้นรายตัว
พอร์ต General Investing ของเราก็สานต่อแนวทางนี้ ด้วยการลงทุนใน ETF ที่ติดตามดัชนีตลาดโดยรวม โดยไม่เลือกลงทุนในหุ้นรายตัว พร้อมกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ และสินค้าโภคภัณฑ์ ในหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก ทำให้คุณมีพอร์ตที่พร้อมเติบโตไปกับตลาดในระยะยาว และลดความเสี่ยงจากการลงทุนแบบกระจุกตัว
📰 ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ: Fed เลือกคงดอกเบี้ย ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจน

เมื่อคืนวันพุธ (7 พ.ค.) Fed มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในกรอบ 4.25-4.50% โดย Jerome Powell ประธาน Fed กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ขณะนี้ Fed กำลังเผชิญกับความท้าทาย เนื่องจากมาตรการภาษีนำเข้าได้เพิ่มแรงกดดันต่อปัญหาเงินเฟ้อและอัตราการว่างงาน แม้ว่าแนวโน้มในอนาคตจะยังไม่ชัดเจน แต่สภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ทำให้การตัดสินใจเรื่องนโยบายการเงินเป็นเรื่องยาก
ในช่วงนี้ Fed อาจยังอยู่ในโหมด ‘รอดูไปก่อน’ เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจยังคงขัดแย้งกันอยู่ โดยตัวเลขการจ้างงานเดือน เม.ย. ค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าคาด โดยมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 177,000 ตำแหน่ง สะท้อนให้เห็นความทนทานของเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ในไตรมาสล่าสุด GDP สหรัฐกลับหดตัว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะภาคธุรกิจต่างเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่มาตรการภาษีนำเข้าจะมีผลบังคับใช้ โดยปัจจุบัน บรรดา Trader คาดการณ์ว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยอีกครั้งภายในเดือน ก.ค. และอาจลดทั้งหมด 3 ครั้งภายในสิ้นปีนี้
เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize