CIO Insights: นโยบายการคลังจะช่วยติดเครื่องเศรษฐกิจยุโรปได้จริงหรือไม่?

10 June 2025
Stephanie Leung
Group CIO

แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ

หุ้นยุโรปทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นสหรัฐอย่างชัดเจนในปีนี้ โดยหุ้นในเขตยูโรโซนปรับตัวขึ้นราว 25% YTD ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 2% ส่วนหนึ่งมาจากการแข็งค่าของเงินยูโรที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับสินทรัพย์ของยุโรปในสกุลเงินดอลลาร์ฯ แต่นอกเหนือจากปัจจัยค่าเงิน การปรับตัวขึ้นของตลาดยุโรปยังสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนเริ่ม Rotate ออกจากหุ้นสหรัฐ รวมถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของยุโรป

ในช่วงที่ยุโรปกลับมาได้รับความสนใจ คำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนระยะยาวคือ “เรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนสำหรับแนวโน้มการเติบโตของยุโรปหรือไม่?” ใน CIO Insights เดือนนี้ เราจะพาไปวิเคราะห์ว่าแรงขับเคลื่อนจากนโยบายการคลังของยุโรปจะสามารถเอาชนะแรงต้านระยะยาวได้แค่ไหน? พร้อมชี้ให้เห็นโอกาสและความท้าทายที่ซ่อนอยู่ในทวีปแห่งนี้

4 Key takeaways

  • เยอรมนีและสหภาพยุโรปเริ่มกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งจะเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของเยอรมนีและการลงทุนด้านกลาโหมของสหภาพยุโรป (EU) กำลังช่วยผลักดันการใช้จ่ายของภาครัฐในยุโรปให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในเยอรมนี ซึ่งอาจเห็น GDP เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 1.4% ต่อปีในระยะสั้น และมีแนวโน้มส่งผลดีต่อการเติบโตระยะยาว รวมถึงจะส่งผลดีต่อเนื่องให้ประเทศอื่นๆ ในยุโรป

  • มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านี้ไม่ใช่ ‘ยาวิเศษ’ ที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ เพราะยุโรปยังคงมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึก ซึ่งฉุดรั้งการเติบโต ดังที่ Mario Draghi อดีตประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวไว้ในรายงานเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของยุโรปว่า EU ยังมีอุปสรรคหลายอย่างที่ต้องจัดการ เช่น กฎระเบียบที่ซับซ้อนและยิบย่อย การพึ่งพาพลังงานจากภายนอก โครงสร้างประชากรที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโต และการขาดกลไกทางการคลังร่วมกัน (Fiscal Union) ซึ่งแม้การกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐจะเป็นสัญญาณที่ดี แต่ก็อาจจะไม่สามารถชดเชยข้อจำกัดเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่

  • แม้ตลาดหุ้นยุโรปอาจมีโอกาสฟื้นตัวเชิงวัฏจักร แต่การปรับ Valuation ขึ้นอย่างยั่งยืนยังเป็นเรื่องยาก ในภาพรวม ตลาดหุ้นของยุโรปยังคงถูกครอบงำโดย ‘Old Economy’ เช่น การเงินและอุตสาหกรรม ทำให้แรงขับเคลื่อนการเติบโตจาก ‘New Economy’ อย่างเทคโนโลยีและ AI ยังค่อนข้างจำกัด โดยสัดส่วนของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ในตลาดลักษณะนี้ เมื่อรวมกับความท้าทายเชิงโครงสร้างของภูมิภาค ล้วนเป็นปัจจัยที่จำกัดศักยภาพของตลาดหุ้นยุโรปโดยรวม ทำให้การปรับตัวขึ้นในระยะสั้นที่อาจเกิดขึ้น มีแนวโน้มเป็นเพียงการ ‘ตามมูลค่าให้ทัน’ (Valuation Catch-up) ชั่วคราว มากกว่าการปรับ Valuation ขึ้นอย่างยั่งยืน

  • แม้แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปโดยรวมอาจซบเซา แต่ยังมีโอกาสอยู่ในบางประเทศและบางกลุ่มธุรกิจ เรามองว่านักลงทุนระยะยาวยังควรมีสัดส่วนของหุ้นยุโรปอยู่ในพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดี แม้ตลาดอื่นๆ เช่น สหรัฐ น่าจะมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาวที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม ยุโรปยังมีบางจุดที่น่าสนใจ โดยในระยะสั้น การลดดอกเบี้ยของ ECB จะช่วยสนับสนุนกลุ่มการเงิน ขณะที่ในระยะกลาง-ยาว นโยบายการคลังและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ จากภาครัฐ อาจเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน กลาโหม และพลังงานสะอาด รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศอย่างเยอรมนี สเปน และฝรั่งเศส

ยุโรปเริ่มกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐ แต่ผลประโยชน์อาจกระจายไม่ทั่วถึง

ในบทวิเคราะห์ CIO Insights: มุมมองระยะยาวหลัง Trump ประกาศ ‘Liberation Day’ เราได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลก ซึ่งถูกเร่งด้วยนโยบายการค้าและอุตสาหกรรมในยุคประธานาธิบดี Donald Trump ทำให้หลายประเทศหันมาให้ความสำคัญกับการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจมากขึ้น

ในบริบทเช่นนี้ ยุโรปจึงกำลังเปลี่ยนจากการรัดเข็มขัดที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน โดยมีเยอรมนีเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ โดยในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา รัฐบาลเยอรมนีได้ผ่านแผนการใช้จ่ายครั้งประวัติศาสตร์มูลค่า 1 ล้านล้านยูโร (ประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ฯ) ซึ่งรวมถึงกองทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 500,000 ล้านยูโร และงบกลาโหมที่มากกว่า 1% ของ GDP โดยจากการประเมินของ Bloomberg Economics การลงทุนนี้อาจเพิ่มการใช้จ่ายสาธารณะของเยอรมนีปีละ 1.3-1.4% ของ GDP ในทศวรรษถัดไป และหากคำนวณโดยใช้อัตราทวีคูณทางการคลัง (Fiscal Multiplier) ที่ 0.8-1 เท่า(1) ก็อาจส่งผลให้ GDP ต่อปีขยายตัวในระดับใกล้เคียงกัน

นี่ถือเป็นการเปลี่ยนทิศทางครั้งสำคัญของประเทศที่เคยขึ้นชื่อเรื่องวินัยทางการคลัง โดยตลอดทศวรรษ 2010 เยอรมนีมีงบเกินดุลและมีการลงทุนจากภาครัฐที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของยูโรโซน เห็นได้จากกราฟที่ 1 ที่แสดงให้เห็นว่าเยอรมนีมีการขาดดุลงบประมาณน้อยที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นจุดเปลี่ยนที่รัฐบาลเยอรมนีกำลังเพิ่มระดับการใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ

แม้จุดเปลี่ยนครั้งนี้จะสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจในภาพรวม แต่ผลกระทบจะไม่เกิดขึ้นทันที เนื่องจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต้องใช้เวลานานในการดำเนินการ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจส่วนใหญ่น่าจะเริ่มเห็นผลในช่วงปี 2026 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นการเปลี่ยนทิศทางครั้งสำคัญหลังจาก GDP ของเยอรมนีหดตัวลงทั้งในปี 2023 และ 2024 และมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่ำกว่า 1% ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งในฐานะเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยูโรโซน การเพิ่มการใช้จ่ายของเยอรมนีจึงมีแนวโน้มส่งผลเชิงบวกให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านผ่าน Demand สินค้าและบริการที่เพิ่มสูงขึ้น

ในระดับ EU มีการอนุมัติแผนกลาโหมเพิ่มเติมอีก 800,000 ล้านยูโร เพื่อให้ประเทศสมาชิกใช้จ่ายงบประมาณด้านนี้โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบทางการคลังเป็นการชั่วคราวได้ ซึ่งแม้จะเป็นสัญญาณที่ดี แต่ก็ยังมีอุปสรรคบางประการ เพราะแหล่งเงินทุนหลักยังมาจากการระดมทุนจากประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นความท้าทายสำหรับประเทศที่มีหนี้สูงอย่างฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน อย่างไรก็ตาม หลายรัฐบาลแสดงความตั้งใจ เช่น ประธานาธิบดี Macron ของฝรั่งเศสเคยแสดงความทะเยอทะยานที่จะเพิ่มงบกลาโหมให้ถึง 3-5% ของ GDP แต่ยังไม่มีแผนการจัดหาเงินทุนที่ชัดเจน เป้าหมายดังกล่าวจึงยังเป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น

สรุปคือ นโยบายทางการคลังของยุโรปกำลังเปลี่ยนแปลง แต่ยังมีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ เพราะประเทศอย่างเยอรมนีสามารถเพิ่มการลงทุนได้เพราะฐานะทางการคลังที่แข็งแกร่ง แต่ประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่งยังติดข้อจำกัดจากภาระหนี้และการเมืองที่ซับซ้อน แม้โครงการ NextGenerationEU (NGEU) ที่เริ่มในยุค Covid-19 จะแสดงให้เห็นศักยภาพของการรวมกลุ่มทางการคลังที่ช่วยให้ประเทศอย่างสเปนและอิตาลีได้รับประโยชน์อย่างมาก อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในปี 2026(2) 

ดังนั้น หากยุโรปต้องการให้ประโยชน์เหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องชั่วคราว จะต้องมีการเพิ่มการใช้จ่ายและการประสานงานในระดับทวีปให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น รวมถึงพัฒนากลไกถาวรที่คล้ายกับ NGEU เพื่อรองรับสถานการณ์ที่นอกเหนือจากกรณีฉุกเฉินอย่าง Covid-19 ด้วย

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจติดเครื่องให้เศรษฐกิจยุโรป หากสามารถจัดการปัญหาเชิงโครงสร้างได้

เส้นทางสู่การเพิ่มความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจยุโรป ต้องการมากกว่าการกระตุ้นระยะสั้น โดยยุโรปจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ดังที่ Mario Draghi อดีตประธาน ECB ได้กล่าวไว้ในรายงานเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของ EU(3) ว่า อุปสรรคการเติบโตของยุโรปมาจากจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกและยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยเราสามารถจำแนกออกเป็น 4 ประเด็นหลัก ดังนี้

  • กฎระเบียบเป็นตัวขัดขวางนวัตกรรม: ยุโรปยังคงมีระบบกฎระเบียบที่ซับซ้อนและยิบย่อย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการแข่งขันของภูมิภาค โดยธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) กว่าครึ่งในยุโรปมองว่า ‘ภาระด้านธุรการ’ เป็นอุปสรรคสำคัญของพวกเขา และการสำรวจของ BusinessEurope ปี 2023 ยังพบว่า 83% ของภาคเอกชนมองว่ากฎการขอใบอนุญาตที่ยุ่งยากเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลงทุนในยุโรป(4) โดยคณะกรรมาธิการยุโรปประเมินว่า ภาระทางธุรการและการขาดความเป็นเอกภาพทางกฎระเบียบ สร้างภาระต้นทุนให้กับชาติสมาชิกถึง 350,000 ล้านยูโรต่อปี (ประมาณ 2% ของ GDP) และความคืบหน้าในการลดภาระเหล่านี้ยังคงเป็นไปอย่างล่าช้า
  • การพึ่งพาพลังงานนำเข้า ทำให้เสียเปรียบด้านต้นทุน: ยุโรปยังพึ่งพาการนำเข้าพลังงานค่อนข้างมาก ทำให้ต้องเผชิญกับราคาพลังงานที่สูงและผันผวนมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ เห็นได้จากต้นทุนไฟฟ้าอุตสาหกรรมในยุโรปที่สูงกว่าสหรัฐและจีนถึง 2-3 เท่า และราคาก๊าซธรรมชาติยังสูงกว่าถึง 5 เท่าในบางกรณี โดยเยอรมนี ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่พึ่งพาพลังงานนำเข้าสูงสุดของทวีป มีอัตราการนำเข้าพลังงานราว 65% จนกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญในช่วงวิกฤติพลังงานปี 2022 อย่างไรก็ตาม กองทุนโครงสร้างพื้นฐานของเยอรมนีมูลค่า 500,000 ล้านยูโร ได้รวมการลงทุนในระบบโครงข่ายพลังงานไว้ด้วย จึงอาจช่วยลดการพึ่งพาจากภายนอกได้ในระยะยาว
  • โครงสร้างประชากรไม่เอื้อต่อการเติบโต: ประชากรวัยทำงานในยุโรปมีแนวโน้มลดลงเฉลี่ยเกือบ 2 ล้านคนต่อปีไปจนถึงปี 2040 ซึ่งจะฉุดรั้งการเติบโตและความยั่งยืนทางการคลังของยุโรป โดย Morgan Stanley ประเมินว่า ปัจจัยด้านประชากรอาจทำให้ GDP ของยูโรโซนลดลง 4% ภายในปี 2040(5) หรือเฉลี่ยปีละราว 0.3% และแม้การเปิดรับการย้ายถิ่นฐานจะเป็นวิธีที่เร็วและตรงจุดที่สุดในการแก้ปัญหานี้ แต่กลับไม่เป็นที่ยอมรับทางการเมือง โดยผลสำรวจของ YouGov ในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา พบว่าชาวยุโรปตะวันตกมากกว่า 70% มองว่าจำนวนผู้อพยพในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงเกินไป(6) ซึ่งหากยุโรปไม่สามารถแก้ปัญหาโครงสร้างประชากรหรือเพิ่ม Productivity ได้ แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในภูมิภาคก็อาจชะลอตัวลงอีก
  • การขาดการจัดการงบประมาณแบบรวมศูนย์ ทำให้แก้ปัญหาร่วมกันได้ยาก: แม้ยุโรปจะเริ่มใช้นโยบายการคลังมากขึ้น แต่ก็ยังขาดกลไกทางการคลังร่วมกัน (Fiscal Union) ส่งผลให้แต่ละประเทศไม่สามารถร่วมมือกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ ความพยายามในการลงทุนร่วมกันยังคงกระจัดกระจายและพึ่งพางบประมาณของแต่ละประเทศเป็นหลัก ซึ่งจะจำกัดการมีส่วนร่วมของประเทศที่มีภาระหนี้สูง โดยโครงสร้างที่กระจัดกระจายเช่นนี้เป็นตัวบั่นทอนศักยภาพเศรษฐกิจโดยรวมของ EU ตัวอย่างเช่น การตั้งกองทุน NGEU ในช่วง Covid-19 แสดงให้เห็นศักยภาพของยุโรป หากมีการรวมทรัพยากรและออกพันธบัตรร่วมกัน แต่กลไกเช่นนี้ถูกนำมาใช้ในกรณีพิเศษเท่านั้น ยังไม่ใช่แนวทางหลัก

ความท้าทายเชิงโครงสร้างทั้งหมดนี้เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของยุโรป และฉุดรั้งภูมิภาคนี้มานานหลายทศวรรษ ตามที่เห็นในกราฟ 2 เศรษฐกิจของยูโรโซนมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่ำกว่าสหรัฐ ประมาณ 1% ตลอดช่วง 25 ปีที่ผ่านมา และยังผันผวนมากกว่าในช่วงวิกฤติต่างๆ ด้วย

แม้หุ้นยุโรปอาจได้แรงหนุนระยะสั้นจากวัฏจักรเศรษฐกิจ แต่ Valuation ที่เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน ยังเป็นเรื่องท้าทาย

ในเชิงวัฏจักร หุ้นยุโรปยังมีโอกาสฟื้นตัวได้อีก ดังที่เห็นในกราฟ 3 ด้านล่าง โดยปัจจุบันค่า Forward P/E ของตลาดหุ้นยุโรปอยู่ที่ 14.7 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 14.3 เท่า แปลว่าหุ้นยุโรปยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีกเมื่อพิจารณาจาก Momentum ล่าสุด หรือราวๆ 5-10% ซึ่งจะอยู่ในกรอบ 1 Standard Deviation ตามค่าเฉลี่ยในอดีต

อย่างไรก็ตาม Valuation ระหว่างหุ้นยุโรปกับหุ้นสหรัฐ ยังคงมีช่องว่างอยู่ โดยปัจจุบัน ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐ มีค่า Forward P/E อยู่ที่ 21.6 เท่า สะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนมีความมั่นใจในศักยภาพการเติบโตของตลาดสหรัฐในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีและ AI (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน 2025 Macro Outlook: ‘FAT’ คือ New Normal) ซึ่งหากยุโรปไม่สามารถปิดช่องว่างเชิงโครงสร้างตามที่กล่าวไว้ข้างต้นได้ Valuation ที่ต่ำกว่าเช่นนี้ก็อาจยังคงอยู่ต่อไป

ความแตกต่างระหว่างยุโรปกับสหรัฐยิ่งชัดเจนเมื่อมองจากโครงสร้างของตลาด (ดูกราฟ 4) โดยตลาดหุ้นสหรัฐมีการกระจุกตัวใน ‘New Economy’ ที่คอยขับเคลื่อนนวัตกรรม เช่น กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี ในขณะที่ยุโรปยังเน้น ‘Old Economy’ เช่น การเงิน (Allianz, BNP Paribas) อุตสาหกรรม (Siemens, Airbus) และสินค้าฟุ่มเฟือยแบบดั้งเดิม (LVMH, Hermes) โครงสร้างที่ไม่สมดุลนี้ทำให้ยุโรปมีข้อจำกัดในการรับประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่าง AI และอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ช่องว่างของ Productivity ระหว่างยุโรปกับสหรัฐ ยังคงอยู่ต่อไป

แม้เศรษฐกิจยุโรปจะเติบโตแบบไม่ทั่วถึง แต่เรายังมองเห็นโอกาสในบางประเทศและบางกลุ่มธุรกิจ

การตื่นตัวด้านนโยบายการคลังของยุโรปถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ โดยเฉพาะในเยอรมนี ซึ่งกำลังทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อสนับสนุนการเติบโตและการลงทุน แม้ว่าการลงทุนระลอกใหม่นี้จะช่วยหนุนเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ก็คงไม่เพียงพอที่จะเอาชนะอุปสรรคเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในภูมิภาคได้อย่างเด็ดขาด

สำหรับนักลงทุนระยะยาว เรายังเชื่อว่าการมีสัดส่วนของหุ้นยุโรปโดยรวมไว้ในพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดี ยังคงเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล และเรายังมองเห็นโอกาสเฉพาะจุดที่กำลังเกิดขึ้นในทวีปยุโรปเช่นกัน

  • การลดดอกเบี้ยของ ECB ช่วยหนุนภาคธนาคาร: ด้วยแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลง และนโยบายการค้าของสหรัฐที่อาจเป็นความเสี่ยงต่อการเติบโต ตลาดคาดการณ์ว่า ECB จะลดดอกเบี้ยต่อไปอีก ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับกลุ่มธุรกิจที่ค่อนข้างไวต่ออัตราดอกเบี้ย เช่น ธนาคาร โดยเฉพาะธนาคารที่เน้นปล่อยกู้ในประเทศ

  • นโยบายภาครัฐจะช่วยหนุนกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานสะอาด AI และกลาโหม: กลุ่มธุรกิจเหล่านี้เป็นศูนย์กลางของยุทธศาสตร์การแข่งขันระยะยาวของ EU และจะได้รับแรงหนุนจากทั้งนโยบายการคลังและการผ่อนคลายกฎระเบียบ โดยกลุ่มธุรกิจพลังงานสะอาดและโครงข่ายไฟฟ้าเป็นส่วนสำคัญในแผนงานลดโลกร้อนของ EU ขณะที่ กฎหมาย AI ของ EU ก็ช่วยกระตุ้นการลงทุนในกลุ่มธุรกิจดิจิทัล ส่วนงบประมาณด้านกลาโหมที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลดีในระยะยาวต่อกลุ่มธุรกิจการบินและกลาโหม ซึ่งมีฐานการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอยู่ในภูมิภาค

  • ในระดับประเทศ เยอรมนี สเปน และฝรั่งเศส มีความโดดเด่น เมื่อพิจารณาจากกลุ่มธุรกิจหลักในตลาดหุ้นของแต่ละประเทศ: เยอรมนีจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนมหาศาลจากภาครัฐ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมที่จะได้รับอานิสงส์จากการลงทุนด้านกลาโหม ส่วนกลุ่มธุรกิจการเงินมีโอกาสได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง ซึ่งทั้งหมดนี้คิดเป็น 50% ของดัชนี DAX ของเยอรมนี ขณะที่ ตลาดหุ้นสเปนมีความโดดเด่นจากการมีสัดส่วนของกลุ่มธุรกิจพลังงานสะอาดและการเงินในระดับสูง ขณะที่ตลาดหุ้นฝรั่งเศสมีสัดส่วนของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมค่อนข้างมาก ซึ่งอาจได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายด้านกลาโหมที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ในปีที่ตลาดทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างและความผันผวนในรอบวัฏจักรเศรษฐกิจ การมีพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีทั่วโลกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เช่น พอร์ต General Investing ของเราที่ออกแบบมาตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ เพื่อให้นักลงทุนสามารถคว้าโอกาสได้จากหลากหลายภูมิภาคและสินทรัพย์ บนระดับความเสี่ยงที่คงที่ในทุกภาวะเศรษฐกิจ เพราะในท้ายที่สุด สิ่งสำคัญคือ การโฟกัสกับสิ่งที่คุณสามารถควบคุมได้ นั่นก็คือ กลยุทธ์การลงทุนที่จะช่วยให้คุณสามารถ Stay Invested ได้อย่างสบายใจในระยะยาว

References

  1. Global Infrastructure Hub, The World Bank. (2020). Fiscal multiplier effect of infrastructure investment. Retrieved from: https://www.gihub.org/infrastructure-monitor/insights/fiscal-multiplier-effect-of-infrastructure-investment

  2. Bańkowski, K., Benalal, N., Bouabdallah, O., De Stefani, R., Huber, C., Jacquinot, P., Nerlich, C., Rodríguez-Vives, M., Szörfi, B., Zorell, N., Zwick, C. (2024). Four years into the Next Generation EU programme: An updated preliminary evaluation of its economic impact. ECB Economic Bulletin, 8/2024. European Central Bank. Retrieved from: https://www.ecb.europa.eu/press/economic-bulletin/html/eb202408.en.html

  3. Draghi, M. (2024). The future of European competitiveness. European Commission. Retrieved from: https://commission.europa.eu/topics/eu-competitiveness/draghi-report_en

  4. BusinessEurope. (2024). Licence to transform: SWOT analysis of industrial permitting in Europe. Retrieved from: https://www.businesseurope.eu/publications/licence-to-transform-swot-analysis-of-industrial-permitting-in-europe-a-businesseurope-survey/

  5. Hogg, R. (2024). Europe’s population crisis could shave 4% off its GDP by 2040, Morgan Stanley warns, and the options to solve it aren’t good. Fortune. Retrieved from: https://finance.yahoo.com/news/europe-population-crisis-could-shave-050000629.html

  6. Henley, J. (2025). Western Europeans say immigration is too high and poorly managed, survey finds. The Guardian. Retrieved from: https://www.theguardian.com/uk-news/2025/feb/26/western-europeans-say-immigration-is-too-high-and-poorly-managed-survey-finds

หมายเหตุ:

การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน; ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต; การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

ข้อมูลนี้ไม่ถือเป็นคำเสนอ คำแนะนำ คำเชื้อเชิญ หรือการชักชวนให้ท่านซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือเข้าทำธุรกรรมใดๆ

ข้อมูลนี้ไม่ได้จัดเตรียมขึ้นโดยคำนึงถึงสถานการณ์ส่วนบุคคลของท่าน (เช่น วัตถุประสงค์การลงทุน สถานการณ์ทางการเงิน หรือความต้องการโดยเฉพาะ) ท่านควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาด้านการเงิน บัญชี ภาษี กฎหมาย และด้านอื่นๆ ของท่านเอง


แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ