CIO Insights: Good Yield Hunting
หากคุณเติบโตมาในยุค 1990s คงเคยได้ยินชื่อภาพยนตร์อย่าง Good Will Hunting มาบ้าง โดยในช่วงนั้น Yield หรือผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน กลายเป็นประเด็นสำคัญในตลาดการเงินเช่นกัน (เริ่มจาก Yield ที่อยู่ในระดับสูงในช่วงต้นทศวรรษ 90 ก่อนจะค่อยๆ ลดลงตามการควบคุมเงินเฟ้อ) ทำให้ในช่วงนั้น การตามหา ‘Yield ที่ดี’ เริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับการเดินทางของตัวเอกของภาพยนตร์อย่าง Will ที่พยายามค้นหาความหมายที่แท้จริงของชีวิต
จนมาถึงวันนี้ เรากลับมาอยู่ในจุดที่คล้ายกันอีกครั้ง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกกำลังเข้าสู่ขาลง ทำให้เรื่อง ‘Yield’ กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง แม้ว่าสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด เช่น พันธบัตรสหรัฐระยะสั้น ยังให้ผลตอบแทนสูงสุดในรอบหลายปี แต่เมื่อดอกเบี้ยเริ่มลด ผลตอบแทนจากสินทรัพย์เหล่านี้ก็ดูไม่น่าดึงดูดเท่าเดิม โดยในปีนี้ สินทรัพย์เทียบเท่าเงินสดให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตราสารหนี้ หุ้น และทองคำ
นี่คือเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนสม่ำเสมอจึงควรมีการกระจายการลงทุนเพื่อสร้างแหล่งรายได้ที่หลากหลาย (หาสมดุลระหว่างโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากตราสารหนี้และหุ้น พร้อมชั่งน้ำหนักข้อดี-ข้อเสียของแต่ละสินทรัพย์อย่างรอบคอบ) ใน CIO Insights เดือนนี้ เราจะพาคุณสำรวจจักรวาลของ ‘Yield’ เพื่อตอบ 2 คำถามสำคัญ: ตอนนี้ควรมองหา Yield จากสินทรัพย์ใด? และสินทรัพย์เหล่านี้ควรมีบทบาทอย่างไรในพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดี?
(หมายเหตุ: Yield ที่เราจะกล่าวถึงในบทความนี้จะอยู่ในสกุลเงินท้องถิ่น เนื่องจากเงินปันผลและดอกเบี้ยจะจ่ายในสกุลเงินของแต่ละประเทศ ดังนั้น หากเรารวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน อาจทำให้การเปรียบเทียบไม่ชัดเจน)
3 Key takeaways
- ตราสารหนี้ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการสร้างรายได้สม่ำเสมอ แต่การเลือกลงทุนอย่างรอบคอบก็สำคัญไม่แพ้กัน สินทรัพย์เทียบเท่าเงินสดในสกุลเงินดอลลาร์ฯ เช่น พันธบัตรสหรัฐระยะสั้น ยังคงให้ผลตอบแทนราว 4% และมีความเสี่ยงต่ำมาก ขณะที่ ตราสารหนี้ Aggregate และตราสารหนี้ Securitization ของสหรัฐ ก็ดูน่าดึงดูดในด้าน Valuation เนื่องจากมี Spread (ตัวชี้วัดความคุ้มค่า) อยู่ใกล้ระดับค่าเฉลี่ยระยะยาว ขณะเดียวกันก็ให้ Yield รวมที่ 4-5% ในอีกด้านหนึ่ง หุ้นกู้ High Yield และตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ ยังคงให้ Yield ในระดับสูงที่ 6-8% แต่ Spread กลับอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอดีต และสำหรับนักลงทุนที่สามารถเข้าถึงตลาด Private Market ได้ ตราสารหนี้นอกตลาดก็อาจช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ แต่ก็มีข้อเสียคือ สภาพคล่องที่จำกัด
- หุ้นบางกลุ่มก็สามารถเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงได้เช่นกัน นอกเหนือจากตราสารหนี้แล้ว หุ้นก็สามารถสร้างรายได้สม่ำเสมอได้เช่นกัน โดยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หุ้นสิงคโปร์และ REITs ในหลายภูมิภาค โดดเด่นด้วย Yield จากเงินปันผลที่ 4-5% ซึ่งสามารถสร้างกระแสเงินสดเพิ่มเติมควบคู่ไปกับตราสารหนี้ และที่สำคัญยังมีศักยภาพการเติบโต ซึ่งจะช่วยเสริมผลตอบแทนรวมของพอร์ตในระยะยาว
- Yield เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพใหญ่เท่านั้น เนื่องจากสินทรัพย์แต่ละประเภทสร้างรายได้ในระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน โดยการเปรียบเทียบ Yield กับความผันผวน จะช่วยให้เราเห็นว่าสินทรัพย์ใดให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยง ขณะเดียวกัน Yield เพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้สะท้อนทุกมิติของการลงทุน เพราะศักยภาพการเติบโตและผลตอบแทนทั้งหมด (Total Return) ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้น พอร์ตที่แข็งแกร่งคือพอร์ตที่มีสมดุลระหว่างรายได้ที่มั่นคงกับการเติบโตระยะยาว ซึ่งจะขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ระยะเวลาลงทุน และเป้าหมายของนักลงทุนเอง
ตราสารหนี้: ต้องเลือกให้ถูกตัวถึงจะคุ้มค่า
เมื่อพูดถึงผลตอบแทนที่สม่ำเสมอจากการลงทุน นักลงทุนมักหันไปหาตราสารหนี้ เพราะให้กระแสเงินสดสม่ำเสมอและคาดการณ์ได้ แต่ปัจจุบัน ตลาดค่อนข้างซับซ้อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ Yield Spread (ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ประเภทอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นจาก Risk-free Rate) เริ่มแคบลง และ Duration Risk (การเปลี่ยนแปลงของราคาที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ย หากนักลงทุนขายตราสารหนี้ก่อนครบกำหนด) ก็เพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนควรเลือกสินทรัพย์อย่างรอบคอบมากกว่าเดิม
อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ยังมีโอกาสในตราสารหนี้ระยะสั้น
สินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด เช่น พันธบัตรสหรัฐระยะสั้น ยังคงให้ Yield ราว 4% และมีความเสี่ยงต่ำมาก ทำให้เป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับการจัดพอร์ตที่เน้นรายได้สม่ำเสมอ นอกจากนี้ ตราสารกึ่งผสม (Hybrid Securities) อย่าง Floating-rate Notes หรือตราสารหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยแบบลอยตัว ยังสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยระยะสั้น และเป็นเครื่องมือสร้างรายได้ที่มีประสิทธิภาพในช่วงที่ดอกเบี้ยนโยบายยังคงสูงอยู่
อย่างที่เราเคยกล่าวไปแล้วว่า เรายังคงระมัดระวังการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐระยะยาว เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐ อาจทำให้ Term Premium หรือผลตอบแทนเพิ่มเติมที่นักลงทุนต้องการสำหรับการถือพันธบัตรระยะยาว ยังคงสูงอยู่ ซึ่งจะจำกัดโอกาสในการได้กำไรจากส่วนต่างราคา
(อ่านเพิ่มเติมได้ใน CIO Insights: มุมมองระยะยาวหลัง Trump ประกาศ ‘Liberation Day)
เมื่อ Yield อยู่ในระดับสูง Spread จะบอกได้ว่าตราสารหนี้ประเภทใดยังน่าสนใจ
Yield Spread (ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นจาก Risk-free Rate) เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้นักลงทุนประเมินได้ว่าตราสารหนี้ประเภทนั้นๆ มีราคาน่าดึงดูดหรือไม่ เพราะจะช่วยให้เห็นว่าผลตอบแทนที่ได้รับเมื่อเทียบกับความเสี่ยงนั้นคุ้มค่าหรือไม่
ในสภาพตลาดปัจจุบัน ตราสารหนี้หลายประเภทมี Spread แคบลง หมายความว่า Yield เพิ่มเติมที่เราจะได้รับจากการรับความเสี่ยงเพิ่มนั้นมีไม่มาก ดังที่เห็นในกราฟ 1
จากกราฟ จุดสีทองจะแสดง Spread ในปัจจุบัน ส่วนเพชรสีน้ำเงินจะแสดงค่าเฉลี่ยของ Spread ในระยะยาว หากจุดสีทองอยู่ต่ำกว่าเพชรสีน้ำเงิน หมายความว่า Spread แคบกว่าปกติ ซึ่งบ่งชี้ว่าสินทรัพย์นั้นมีความคุ้มค่าน้อยกว่า ขณะที่ แถบสีเทาจะแสดงช่วง Spread ในอดีต ซึ่งจะช่วยให้เห็นว่า Spread ในปัจจุบันแตกต่างจาก Spread ในอดีตอย่างไร

พื้นฐานที่แข็งแกร่งของภาคเอกชน ทำให้ Spread ที่แคบลงของตราสารหนี้ Aggregate ของสหรัฐ ยังสมเหตุสมผล
จากกราฟ 1 จะเห็นได้ว่า ตราสารหนี้หลายประเภทมี Spread ในปัจจุบัน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยและใกล้ขอบล่างในอดีต บ่งชี้ว่าราคามีความน่าดึงดูดน้อยลง แต่บางประเภทยังมีราคาค่อนข้างสมเหตุสมผล (Fair Value) เช่น ตราสารหนี้ Aggregate และหุ้นกู้คุณภาพดีของสหรัฐที่ยังซื้อขายกันอยู่ใกล้ค่าเฉลี่ย Spread ในระยะยาว ซึ่งแม้ว่า Spread ของตราสารหนี้ประเภทนี้จะค่อนข้างแคบ แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของภาคเอกชน
ดังที่เห็นในกราฟ 2 ว่า หนี้ของบริษัทสหรัฐยังอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี หรือราว 31% ของ GDP ใน Q1/2025 ขณะที่ ระดับเงินสดของบริษัทก็ยังแข็งแกร่ง โดยปัจจุบัน บริษัทระดับชั้นนำของสหรัฐถือเงินสดราว 1.14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐใน Q1 ต่ำกว่าจุดสูงสุดที่ 1.21 ล้านล้านดอลลาร์ฯ เมื่อปลายปี 2023 เพียงเล็กน้อย (1)
เงินสดจำนวนมากทำให้มีโอกาสค่อนข้างต่ำที่บริษัทคุณภาพดีเหล่านี้จะมีปัญหาในการชำระหนี้ และน่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนจึงไม่เรียกร้อง Yield เพิ่มเติมมากนักสำหรับการถือหุ้นกู้ของบริษัทเหล่านี้ นอกจากนี้ นักวิเคราะห์บางรายยังเชื่อว่าความกังวลเรื่องหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ อาจทำให้ Demand ของหุ้นกู้ของบริษัทเหล่านี้เพิ่มขึ้นด้วย (2)

ตราสารหนี้ Securitization มี Spread สูงกว่าอดีตเล็กน้อย
ตราสารหนี้ Securitization ดูน่าดึงดูดกว่าเล็กน้อย เช่น Mortgage-backed securities (MBS) และ Asset-backed securities (ABS) ซี่งทั้งคู่มี Spread สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเล็กน้อย (ดูกราฟ 1) หมายความว่านักลงทุนจะได้ Yield มากกว่าปกติเล็กน้อย
สำหรับ MBS มี Spread อยู่ในระดับน่าดึงดูดที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ Fed ลดการถือครอง MBS ภายใต้โปรแกรม Quantitative Tightening (QT) และหาก QT สิ้นสุดลงและดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวลงมา Demand ของ MBS อาจเพิ่มขึ้น ทำให้สินทรัพย์ประเภทนี้อาจได้ประโยชน์ 2 ทาง คือ 1) Yield ในปัจจุบันที่น่าดึงดูด และ 2) โอกาสทำกำไรจากส่วนต่างราคา เมื่อ Spread กลับสู่ระดับปกติ
หุ้นกู้ High Yield และตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ ให้ Yield ที่น่าดึงดูด แต่ก็แลกมาด้วยความเสี่ยง
ในทางตรงกันข้าม หุ้นกู้ High Yield และตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ แม้จะให้ Yield ในระดับสูง แต่ Spread ของทั้งคู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก และอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ โดย Spread ของสินทรัพย์ทั้ง 2 ประเภทนี้ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี มากกว่า 1% หมายความว่านักลงทุนได้รับ Yield เพิ่มเติมน้อยลงกว่าปกติมาก หากเทียบกับความเสี่ยงด้านเครดิตและความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ถือว่ามีเหตุผลเมื่อพิจารณาถึงสภาพเศรษฐกิจโดยรวม โดยในช่วงวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงที่การเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงเป็นบวก ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ Yield Spread จะยังแคบอยู่ ซึ่งตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในปัจจุบันก็ยังคงชี้ไปในทิศทางดังกล่าว โดยความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะ Recession ในระยะสั้น ยังคงอยู่ในระดับต่ำ
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อทั่วโลก (PMI) ตามที่เห็นในกราฟ 3 ยังคงบ่งชี้ถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
- ตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัวลง แต่ส่วนใหญ่ยังคงมีเสถียรภาพ
- ธนาคารกลางหลายแห่งอยู่ในช่วงลดอัตราดอกเบี้ย หลังปัญหาเงินเฟ้อเริ่มผ่อนคลายลง
- รัฐบาลทั่วโลกกำลังใช้จ่ายมากขึ้น เพื่อช่วยพยุงการเติบโตทางเศรษฐกิจ
นี่คือเหตุผลว่าทำไมหุ้นกู้ High Yield และตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ จึงยังคงสามารถมอบโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอแก่นักลงทุนที่พร้อมรับความเสี่ยงสูงขึ้น แม้ว่า Spread ที่แคบ จะหมายความว่า Valuation จะไม่น่าดึงดูดเท่าในอดีต แต่ Yield ที่จะได้รับจริง (Absolute Yield) ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับมาตรฐานในอดีต ที่สำคัญคือ ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า Yield ในปัจจุบันเป็นหนึ่งในตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้มากที่สุดของผลตอบแทนจากตราสารหนี้ระยะยาว และเมื่อนำทั้งหมดมารวมกัน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่านักลงทุนอาจได้รับประโยชน์จากการ ‘Lock In’ ผลตอบแทนที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ยังมีโอกาสอยู่

ตราสารหนี้นอกตลาด (Private Credit): ให้ผลตอบแทนสูงและมั่นคง แต่แลกมาด้วยสภาพคล่องที่ต่ำ
สำหรับนักลงทุนที่สามารถเข้าถึงตลาด Private Market ได้ ตราสารหนี้นอกตลาด (Private Credit) ยังเป็นทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น แต่ก็แลกมาด้วยสภาพคล่องที่ต่ำ โดยเฉพาะ Senior Debt หรือเงินกู้ที่ได้รับการชำระคืนก่อนหากลูกหนี้มีปัญหา โดยจากสถิติในอดีต สินทรัพย์ประเภทนี้ให้ผลตอบแทนระหว่าง 6-10% และมักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงได้ดี พร้อมโอกาสได้ผลตอบแทนที่มั่นคง
หุ้นก็สามารถสร้างรายได้สม่ำเสมอจากเงินปันผลได้เช่นกัน
แม้ว่าตราสารหนี้จะถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์หลักสำหรับการสร้างรายได้สม่ำเสมอ แต่หุ้นบางกลุ่มที่มีการจ่ายปันผลในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เช่น ดัชนีหุ้นปันผล หรือ REITs (กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์) ก็สามารถช่วยสร้าง Yield ให้พอร์ตของนักลงทุนได้เช่นกัน
จากกราฟ 4 เราจะพบว่าหุ้นในหลายภาคส่วนกำลังให้ Yield จากเงินปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ทำให้โอกาสสร้างรายได้สม่ำเสมอในปัจจุบันน่าสนใจมากขึ้นเมื่อเทียบกับมาตรฐานในอดีต

ผลตอบแทน REITs อยู่ในระดับสูง และได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้น
ในหลายตลาดหลัก REITs กำลังให้ Yield ที่ไม่เพียงสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว (ราว 5% ในสิงคโปร์ และราว 4-4.5% ในยุโรปและสหรัฐ) แต่ยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีรองรับ
ในเชิงโครงสร้าง ความมั่นคงในการจ่ายปันผลของ REITs ได้รับการค้ำประกันด้วยกฎระเบียบที่โดยทั่วไปมักบังคับให้จ่ายปันผลราว 90% ของกำไร ขณะที่ สภาพเศรษฐกิจโดยรวมก็กำลังเปลี่ยนไปในทิศทางที่เอื้ออำนวยมากขึ้น หลังจากที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวในปี 2022 เพราะการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและรุนแรงทั่วโลก แต่ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยที่กำลังลดลง และความสมดุลของ Demand-Supply ที่ดีขึ้น กำลังช่วยให้กำไรของ REITs มีเสถียรภาพมากขึ้น แม้เราจะสังเกตว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่ยังคงสูงต่อเนื่อง ยังอาจเป็นแรงกดดันต่อ REITs ในสหรัฐ
นอกจากนี้ แรงขับเคลื่อนการเติบโตเชิงโครงสร้างใน REITs แต่ละกลุ่ม เช่น อุตสาหกรรม Healthcare และ Data Center ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของอี-คอมเมิร์ซ สังคมผู้สูงอายุ และ Demand เซิร์ฟเวอร์ที่เพิ่มขึ้นจาก AI ก็มอบความมั่นคงในอีกระดับหนึ่งให้กับกระแสรายได้ของ REITs ในอนาคต
การจ่ายปันผลของกลุ่มธนาคารและ REITs เป็นแรงหนุน Yield ในตลาดหุ้นสิงคโปร์
ตลาดหุ้นสิงคโปร์ยังคงโดดเด่นด้วย Yield จากเงินปันผลที่ราว 5% (สูงกว่าตลาดหุ้นหลักอื่นๆ และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตของตัวเองอย่างมาก) สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าตลาดมีแนวโน้มที่จะให้น้ำหนักกับภาคการเงินและ REITs ซึ่งเป็นกลุ่มที่โดยทั่วไปมีอัตราการจ่ายปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ย
สำหรับธนาคารขนาดใหญ่ในสิงคโปร์ ปัจจัยหนุนที่ทำให้ Yield อยู่ในระดับสูง มาจากกำไรที่แข็งแกร่ง ฐานะการเงินที่มั่นคง และวัฒนธรรมการจ่ายเงินปันผลที่มักตั้งเป้าไว้ราว 50–60% ของกำไร (สูงกว่าตลาดสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญ) ส่วน REITs ของสิงคโปร์ก็ได้รับแรงหนุนทั้งจากวัฏจักรเศรษฐกิจและปัจจัยเชิงโครงสร้าง ได้แก่ ต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลง และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ช่วยหนุน Demand ในกลุ่มโรงแรมและค้าปลีก เป็นต้นสำหรับนักลงทุนที่มองหาทั้งรายได้สม่ำเสมอและการเติบโต REITs และหุ้นปันผลสามารถเป็นส่วนเสริมในพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดี ควบคู่ไปกับตราสารหนี้ได้ เพราะนอกจากจะสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอแล้ว ยังมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้น ทำให้สินทรัพย์ประเภทนี้มีบทบาท ‘สองทาง’ ในการช่วยเพิ่มผลตอบแทนของพอร์ตในระยะยาว
พิจารณา Yield ผ่านมุมมองด้านความเสี่ยง
Yield ในระดับสูงอาจฟังดูน่าสนใจในตอนแรก แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะสินทรัพย์แต่ละประเภทสร้างผลตอบแทนด้วยระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน และหนึ่งในวิธีที่ทำให้เห็นภาพ นั่นก็คือการเปรียบเทียบผลตอบแทนกับความผันผวน ตามที่เห็นในกราฟ 5 ด้านล่าง

เมื่อปรับด้วยความผันผวนแล้ว สินทรัพย์ที่อยู่เหนือเส้นแนวโน้ม (เส้นประ) จะดูโดดเด่นขึ้นมา เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงกว่าระดับความเสี่ยง ขณะที่สินทรัพย์ที่อยู่ใต้เส้น จะดูไม่ค่อยคุ้มค่ามากนัก
- จากมุมมองนี้ ตราสารหนี้หลายประเภท โดยเฉพาะหุ้นกู้ High Yield และตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ ถือว่าน่าสนใจ เพราะให้ Yield สูงกว่าค่าเฉลี่ย และยังมีความผันผวนในอดีตที่ต่ำกว่าหุ้น ซึ่งแน่นอนว่าดอกเบี้ยที่สูงกว่าจะมาพร้อมความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงกว่า แต่การที่ตราสารหนี้เหล่านี้มีอายุสั้นกว่า จึงให้กระแสเงินสดเร็วกว่า และยังช่วยจำกัดความผันผวนของราคาได้มากกว่าตราสารหนี้ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่า
- สำหรับหุ้น หุ้นปันผลและ REITs ในบางกลุ่มและภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ ก็อยู่เหนือเส้นแนวโน้มเช่นกัน โดยให้ Yield ที่น่าดึงดูดเมื่อเทียบกับความผันผวน ขณะเดียวกัน หุ้นบางกลุ่ม เช่น กลุ่มเทคโนโลยี มีการจ่ายเงินปันผลน้อยมาก แต่กลับมีความผันผวนของราคาค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม สำหรับหุ้นแล้ว การยอมรับความผันผวนมากขึ้นไม่ใช่เพื่อเงินปันผล แต่เพื่อโอกาสในระยะยาวที่มาจากการเติบโตของราคาหุ้น
Yield เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพอร์ตที่สมดุล
หากพิจารณาในแง่ ‘Yield ต่อความผันผวน’ จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ได้มีคุณภาพเท่ากันทั้งหมด บางสินทรัพย์ให้ Yield คุ้มค่ากว่าความเสี่ยงที่ต้องแบกรับ บางสินทรัพย์ก็ให้ผลตอบแทนน้อยเกินไป อย่างไรก็ตาม Yield เพียงอย่างเดียวไม่สามารถบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของพอร์ตได้ทั้งหมด
Key takeaway: นักลงทุนควรพิจารณารายได้และการเติบโตควบคู่กันไป พอร์ตที่สร้างมาเพื่อรายได้สม่ำเสมอเพียงอย่างเดียว อาจจำกัดโอกาสเติบโตในระยะยาว ส่วนพอร์ตที่มุ่งเน้นแต่การเติบโตเพียงอย่างเดียว ก็อาจขาดความมั่นคงในช่วงตลาดขาลง ดังนั้นสัดส่วนที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับ:
- ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้: คุณสามารถทนต่อความผันผวนได้มากน้อยแค่ไหนโดยไม่เปลี่ยนกลยุทธ์?
- ระยะเวลาการลงทุน: คุณสามารถ Stay Invested ได้นานแค่ไหนเพื่อผ่านวัฏจักรต่างๆ ของตลาด?
- เป้าหมายผลตอบแทน: คุณให้ความสำคัญกับกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ หรือการเติบโตของเงินลงทุนระยะยาว หรือทั้งสองแบบ?
ในทางปฏิบัติแล้ว ทุกการตัดสินใจลงทุนย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้น พอร์ตที่แข็งแกร่งที่สุดคือพอร์ตที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างรายได้ที่สม่ำเสมอ การเติบโต และการบริหารความเสี่ยงในสภาพตลาดที่แตกต่างกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่รายได้และการเติบโตทำงานร่วมกันเพื่อสนับสนุนเป้าหมายทางการเงินของคุณ และสร้างทั้งความมั่นคงในระยะสั้นและสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
Authors

Stephanie Leung, Group Chief Investment Officer
คุณ Stephanie มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 17 ปีในการบริหารพอร์ตการลงทุนแบบ Multi-asset ทั่วโลก ให้กับ Goldman Sachs นักลงทุนสถาบัน และ Family Offices ต่างๆ

Justin Jimenez, Group Head of Macro and Investment Research
คุณ Justin มีประสบการณ์ด้านการวิจัยเศรษฐกิจและการลงทุนมากกว่าทศวรรษ และมีบทบาทสำคัญในการสร้างมุมมองเศรษฐกิจโลกและสินทรัพย์ต่างๆ ให้ทีมงานด้านการลงทุนของ StashAway
References
- Steinberg, E. M. (2025). Corporate cash levels are starting to fall. Bloomberg. Retrieved from: https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-06-07/corporate-cash-levels-are-starting-to-fall-credit-weekly
- Ashworth, M. (2025). Credit spreads aren't hiding a market timebomb. Bloomberg. Retrieved from: https://www.bloomberg.com/opinion/articles/2025-08-13/credit-spreads-aren-t-hiding-a-market-timebomb
หมายเหตุ:
การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน; ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ข้อมูลนี้ไม่ถือเป็นคำเสนอ คำแนะนำ คำเชื้อเชิญ หรือการชักชวนให้ท่านซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือเข้าทำธุรกรรมใดๆ
ข้อมูลนี้ไม่ได้จัดเตรียมขึ้นโดยคำนึงถึงสถานการณ์ส่วนบุคคลของท่าน (เช่น วัตถุประสงค์การลงทุน สถานการณ์ทางการเงิน หรือความต้องการโดยเฉพาะ) ท่านควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาด้านการเงิน บัญชี ภาษี กฎหมาย และด้านอื่นๆ ของท่านเอง