Weekly Buzz: ตลาดมักเคลื่อนไหวในรูปแบบเดิมๆ เมื่อเกิดความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ 🌍

ตลาดไม่ชอบความไม่แน่นอน และตอนนี้ก็มีมากเกินพอแล้ว ซึ่งล่าสุด ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านได้เพิ่มแรงกดดันให้กับตลาดอีกครั้ง ทำให้เกิดความผันผวนรอบใหม่ แต่ท่ามกลางความผันผวนรายวัน ยังมีการเคลื่อนไหวในรูปแบบเดิมๆ ที่นักลงทุนควรจับตามอง ซึ่งอาจช่วยให้เรามองเห็นภาพอนาคตได้ชัดเจนขึ้น
เกิดอะไรขึ้น?
ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ ตลาดน้ำมัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย โดยการส่งออกน้ำมันของอิหร่านร่วงจากค่าเฉลี่ยรายสัปดาห์ที่ 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน เหลือเพียง 102,000 บาร์เรล ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบ Brent พุ่งขึ้น 7% ทะลุ 74 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยนักลงทุนยังคงจับตา สถานการณ์บนช่องแคบฮอร์มุซอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นเส้นทางเดินเรือที่มีการขนส่งน้ำมันเกือบ 1 ใน 5 ของโลก

เพื่อให้เข้าใจความผันผวนในตอนนี้ คุณอาจลองย้อนดูประวัติศาสตร์เป็นแนวทาง โดยข้อมูลจาก Deutsche Bank ระบุว่า ดัชนี S&P 500 มักจะปรับตัวลงเฉลี่ยประมาณ 6% ภายใน 3 สัปดาห์หลังเกิดความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งใหญ่ แต่ก็มักจะฟื้นตัวกลับมาที่เดิมในอีก 3 สัปดาห์เช่นกัน
ทำไมรูปแบบนี้ถึงเกิดขึ้นซ้ำๆ? เพราะในช่วงแรก ความไม่แน่นอนย่อมนำมาซึ่งความผันผวน แต่เมื่อปัญหาระยะสั้นเริ่มคลี่คลายและธุรกิจยังคงดำเนินต่อไป ตลาดก็เริ่มกลับมาประเมินสถานการณ์อย่างมีเหตุผล เศรษฐกิจโลกยังคงเดินหน้าต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความขัดแย้งยังจำกัดอยู่ในภูมิภาคเดียว
เราไม่มีทางรู้ได้ว่าความขัดแย้งครั้งนี้จะรุนแรงขึ้นหรือจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ข้อมูลในอดีตชี้ให้เห็นว่าตลาดสามารถแยกความผันผวนระยะสั้นออกจากปัจจัยพื้นฐานระยะยาวได้
Key Takeaway
ตลาดคือเครื่องจักรที่มองไปข้างหน้า เมื่อใดที่นักลงทุนสามารถประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจริง แทนการวาดภาพสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ราคาสินทรัพย์ก็มักจะสะท้อนข้อเท็จจริงมากกว่าความกลัว และถึงแม้ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จะดูรุนแรงในช่วงเวลาที่มันเกิดขึ้น แต่ตลาดก็เคยผ่านวิกฤติต่างๆ มาแล้วมากมาย ทั้งวิกฤติขีปนาวุธคิวบา สงครามตะวันออกกลางหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงเหตุการณ์ใหญ่ๆ อีกนับครั้งไม่ถ้วน
เหตุการณ์เหล่านี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าการกระจายการลงทุน เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวที่ได้ผลจริง โดยตลอดครึ่งแรกของปี 2025 เต็มไปด้วยความผันผวน ซึ่งสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงอย่างทองคำก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี และแม้จะไม่มีใครสามารถทำนายความขัดแย้งได้ล่วงหน้า แต่การมีพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจและภูมิภาค จะช่วยรองรับแรงกระแทกเหล่านี้ได้
(หากคุณกำลังมองหาพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดี พอร์ต General Investing ของเรา อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม😎)
💡 Investors’ Corner: จีนเปลี่ยนแรงกดดันให้เป็นโอกาสได้อย่างไร?
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนยังคงดำเนินต่อไป โดยมาตรการภาษีนำเข้าได้สร้างความท้าทายอย่างแท้จริงให้กับภาคธุรกิจของทั้งสองฝ่าย แต่ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่า บริษัทจีนไม่ได้แค่พยายามเอาตัวรอดจากพายุนี้ แต่กลับใช้มันเป็นแรงผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ กลุ่มธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ที่แม้จะถูกตัดออกจากวงจรชิปของสหรัฐ แต่บริษัท SMIC ของจีนก็ยังสามารถก้าวขึ้นเป็นโรงงานผลิตชิปใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกได้ในปี 2024 ขณะที่ ผู้ผลิตรถยนต์จีนก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีสัดส่วนถึง 51.1% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดภายในประเทศ แซงหน้ายอดขายรถยนต์สันดาปเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วเช่นกัน
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังอนุมัติโมเดล AI สำหรับการใช้งานสาธารณะถึง 302 รายการในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจาก 117 รายการเมื่อ 10 เดือนก่อน และที่สำคัญ นี่ไม่ใช่แค่โมเดลวิจัยเท่านั้น แต่เป็นแอปพลิเคชันเชิงพาณิชย์ เช่น โปรแกรมสร้างคอนเทนต์ และซอฟต์แวร์ธุรกิจที่ใช้งานจริงได้ในตลาด
สัดส่วนการค้าของจีนที่พึ่งพาสหรัฐก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เหลือเพียง 10% ของการค้าทั้งหมด นับตั้งแต่มีมาตรการภาษีนำเข้าของ Trump ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 40 ปี

ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของจีน มีความหมายอย่างมากต่อมุมมองของนักลงทุน เพราะแม้ความตึงเครียดทางการค้าจะสร้างความผันผวนในระยะสั้น แต่บริษัทจีนก็กำลังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเปลี่ยนแรงกดดันเป็นโอกาสสร้างมูลค่าในระยะยาว
(หากคุณอยากมีส่วนร่วมกับการเติบโตของเศรษฐกิจจีนโดยรวม หรืออยากเจาะจงเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีของจีน หรืออยากกระจายการลงทุนในตลาดเอเชีย Flexible Portfolio ของเรา ให้คุณสามารถ Customise พอร์ตได้ตามต้องการ)
เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize