Weekly Buzz: ศิลปะแห่งการเจรจา (การค้า) 🤝

สหรัฐเพิ่งบรรลุข้อตกลงการค้าครั้งสำคัญกับญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป (EU) โดยสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นและ EU จะถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่ 15% เท่ากัน แม้ข่าวนี้จะช่วยคลายความกังวลของตลาดในระยะสั้น แต่หากพิจารณาให้ดี จะเห็นได้ชัดว่าใครเป็นฝ่ายได้เปรียบมากกว่า
เกิดอะไรขึ้น?
สหรัฐและญี่ปุ่นตกลงลดภาษีนำเข้าจากเดิมที่จะเพิ่มเป็น 25% เหลือ 15% สำหรับสินค้าประเภทรถยนต์และอุตสาหกรรม แลกกับการที่ญี่ปุ่นจะลงทุนในสหรัฐกว่า 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการผลิตและ Supply Chain ของสหรัฐ
ขณะที่ EU ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกขู่ว่าจะถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 30% สำหรับสินค้าเกือบทุกประเภทที่ส่งมาสหรัฐตั้งแต่ 1 ส.ค. ก็ยอมรับตัวเลขภาษีนำเข้าที่ 15% เช่นกัน ซึ่งแม้จะฟังดูดี แต่ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยเดิมที่ 5% ถึง 3 เท่า และข้อตกลงนี้ยังรวมถึงข้อผูกผันที่ EU ต้องซื้อพลังงานจากสหรัฐมูลค่า 750,000 ล้านดอลลาร์ฯ และการลงทุนในสหรัฐอีกกว่า 600,000 ล้านดอลลาร์ฯ

ตลาดหุ้นยุโรปกลับไม่สะเทือนจากข่าวดังกล่าว โดยดัชนี Stoxx Europe 600 พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน สะท้อนว่านักลงทุนได้เตรียมรับมือภาษีนำเข้าที่อาจสูงถึง 30% ไว้แล้ว พอผลออกมาที่ 15% จึงรู้สึกว่า ‘เบากว่าที่คิด’ นี่เป็นตัวอย่างของ Anchoring Bias หรืออคติจากการยึดติดกับข้อมูลเริ่มต้น เพราะเมื่อความเสี่ยงช่วงแรกดูรุนแรงมาก ผลลัพธ์ที่น้อยกว่าจึงกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในระยะยาวอาจไม่จบแค่นั้น โดยเฉพาะในสหรัฐ เพราะท้ายที่สุด ต้นทุนภาษีจะค่อยๆ ส่งผลกระทบต่อกำไรของภาคเอกชนและราคาสินค้า ทำให้เงินเฟ้ออาจกลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง
ส่งผลอย่างไรต่อนักลงทุน?
ตลาดไม่ได้ตอบสนองแค่ข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่บางครั้งยังตอบสนองต่อวิธีเล่าเรื่องด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมการลงทุนตามข่าวพาดหัวถึงมีความเสี่ยงมาก เพราะเรื่องต่างๆ มักเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และ Sentiment ของตลาดมักเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่า
ดังนั้นแทนที่คุณจะพยายามทำนายอนาคต สิ่งที่คุณควรทำ คือ สิ่งที่คุณควบคุมได้ นั่นก็คือกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวในพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจและภูมิภาค ซึ่งจะเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงให้กับคุณในทุกสถานการณ์
(หากคุณกำลังมองหาพอร์ตที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนต่างๆ ลองดูพอร์ต General Investing ของเรา 😎)
📰 ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ: ยุโรปเลือกคงอัตราดอกเบี้ย
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2% หลังลดดอกเบี้ยต่อเนื่องมาเป็นเวลา 1 ปี และถือเป็นครั้งแรกสำหรับปี 2025 ที่ ECB หยุดการลดดอกเบี้ย เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อเริ่มทรงตัวใกล้ระดับเป้าหมาย 2% ของ ECB และแม้ว่าการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อจะดูเป็นเรื่องที่ควรฉลอง แต่ ECB ก็เริ่มเฝ้าระวังความเสี่ยงใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นแล้ว

หนึ่งในความกังวลหลัก คือ มาตรการภาษีนำเข้าที่อาจฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจและทำให้ราคาสินค้าปั่นป่วน ซึ่งจะทำให้การดำเนินนโยบายการเงินของ ECB ซับซ้อนขึ้นไปอีก แม้ว่าภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปจะลดลงมาอยู่ที่ 15% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 30% ที่ถูกขู่ไว้ก่อนหน้านี้ แต่เรื่องนี้ก็ยังสร้างแรงกดดันให้เศรษฐกิจยุโรปที่ชะลอตัวอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ ยุโรปได้เพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมและโครงสร้างพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแม้ว่าจะช่วยหนุนการเติบโตได้บางส่วน แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะกระตุ้นให้เงินเฟ้อกลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ธนาคารกลางต่างๆ เพิ่งจะคิดว่าพวกเขาควบคุมเงินเฟ้อไว้ได้แล้ว
ทั้งนี้ ECB ยังคงคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2025 ไว้ที่ 0.9% ซึ่งถือว่าเปราะบาง และแทบไม่มีพื้นที่ให้ผิดพลาดมากนัก โดยเฉพาะหากความตึงเครียดทางการค้าเริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐกลับกลายเป็นแรงกระตุ้นเงินเฟ้อที่รุนแรงเกินคาด
เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize
🎓 Simply Finance: Anchoring Bias

Anchoring Bias คือ อคติที่เกิดจากการยึดติดกับข้อมูลแรกที่ได้รับ แล้วใช้ข้อมูลนั้นเป็นจุดอ้างอิงสำหรับการตัดสินใจในภายหลัง ซึ่งในโลกการลงทุน อคตินี้สามารถส่งผลกระทบต่อกระบวนการตัดสินใจของเราได้ เช่น นักลงทุนอาจมองว่าหุ้นตัวหนึ่งที่ซื้อขายอยู่ที่ราคา 50 ดอลลาร์ฯ นั้น ‘ถูก’ เพียงเพราะมันเคยมีราคา 100 ดอลลาร์ฯ เมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่ได้คำนึงถึงสภาพธุรกิจหรือปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันเลย ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันว่าตัวเองอาจกำลังยึดติดกับข้อมูลที่ใช้ไม่ได้แล้ว และหันมาให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตแทน