CIO Insights: หุ้นญี่ปุ่นยังไปต่อได้อีก?

01 December 2025
Stephanie Leung
Group CIO

แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในตลาดที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้อย่างเงียบๆ โดยดัชนี TOPIX ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นหลักของประเทศ ปรับตัวขึ้นจนทำ All-time High ได้หลายครั้ง (ผลตอบแทน YTD ที่ 22% ทั้งในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินเยน ณ กลางเดือน พ.ย. 2025 ถือเป็นหนึ่งในผลตอบแทนที่แข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นหลักทั่วโลก) โดยแรงหนุนสำคัญมาจากตัวเลขเงินเฟ้อที่กลับมาสูงขึ้น (Reflation) นโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น การปฏิรูปภาคเอกชน และการซื้อหุ้นคืนในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้ญี่ปุ่นก้าวผ่านยุคเงินฝืดและการเติบโตที่ซบเซา ซึ่งยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษ

ใน CIO Insights เดือนนี้ เราจะสรุป 4 ปัจจัยที่เรามองว่ากำลังช่วยขับเคลื่อนการฟื้นตัวของญี่ปุ่น และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า

5 Key takeaways

  • ปัจจัยแรก: ภาวะ Reflation (การกลับมาของเงินเฟ้อ) ยังคงดำเนินต่อไป หลังหมดยุค ‘ทศวรรษที่หายไป’ (การเติบโตต่ำและเงินฝืด) ปัจจุบัน เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มกลับมามีแนวโน้มที่ดีอีกครั้ง หลังราคาสินค้าและบริการปรับตัวขึ้น เช่นเดียวกับการเติบโตของค่าจ้างแรงงานที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบหลายสิบปี รวมถึงการเติบโตแบบ Nominal Growth ที่หลุดออกจากภาวะหยุดนิ่งมาเป็นเวลานาน

  • ปัจจัยที่สอง: แรงหนุนจากนโยบายการเงินและการคลัง แม้ Reflation จะทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างผ่อนคลาย ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ Sanae Takaichi มีแผนใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวมากขึ้น ด้วยการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม AI และพลังงาน ซึ่งแรงสนับสนุนทั้งสองด้านกำลังช่วยให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังคงมีแนวโน้มที่ดี

  • ปัจจัยที่สาม: บริษัทญี่ปุ่นกำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน ด้วยการปฏิรูปภาคเอกชนและการลงทุน AI การปรับปรุงบรรษัทภิบาล (Corporate Governance) กำลังทำให้บริษัทญี่ปุ่นโฟกัสไปที่ความสามารถในการทำกำไรและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยหลายบริษัทเลือกใช้วิธีการซื้อหุ้นคืนและจ่ายเงินปันผลสูงขึ้นเพื่อเพิ่ม Valuation ของหุ้น ซึ่งแสดงให้เห็นความก้าวหน้าในการกำกับดูแลและการให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นมากขึ้น ขณะที่ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI กำลังช่วยฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมและสร้างพื้นที่การเติบโตใหม่ๆ ให้กับเศรษฐกิจญี่ปุ่น

  • ปัจจัยที่สี่: การปรับปรุงโครงสร้างตลาดหุ้นผ่านการซื้อหุ้นคืนและเม็ดเงินลงทุนภายในประเทศ การปฏิรูปภาคเอกชนทำให้บริษัทญี่ปุ่นมีการซื้อหุ้นคืนในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยแนวโน้มดังกล่าวยังคงแข็งแกร่งในปีนี้ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อน Valuation ของหุ้น และปรับปรุงโครงสร้างตลาดโดยรวม ขณะที่ เม็ดเงินลงทุนผ่านโปรแกรม NISA ฉบับปรับปรุงใหม่ กำลังขยายฐานนักลงทุนในประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นแหล่ง Demand ที่ยั่งยืนสำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่น

  • ปัจจัยเหล่านี้ล้วนสนับสนุนมุมมองเชิงบวกที่มีต่อหุ้นญี่ปุ่น แต่การอ่อนค่าของเงินเยนอาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนของนักลงทุนต่างชาติ เทคโนโลยีการลงทุน Economic Regime Asset Allocation (ERAA™) ของเรา ยังคง Overweight หุ้นญี่ปุ่น ตามเหตุผลที่กล่าวไว้ข้างต้น อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าของเงินเยน (เนื่องจากนโยบายการคลังแบบขยายตัวภายใต้รัฐบาลของ Takaichi) และการที่ BOJ ยังดำเนินนโยบายการเงินแบบระมัดระวัง อาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนของนักลงทุนต่างชาติได้ ซึ่งในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ การลงทุนแบบ Hedging ค่าเงิน อาจช่วยลดความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของเงินเยนในระหว่างที่ Stay Invested ในหุ้นญี่ปุ่นได้

1. Reflation ของญี่ปุ่นที่ยังดำเนินต่อไป 

ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นต้องแก้ปัญหาเงินฝืดและการเติบโตที่อ่อนแอมาตั้งแต่ทศวรรษ 1990 หรือที่เรียกกันว่า ‘ทศวรรษที่สูญหาย’ แต่ตอนนี้สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มเข้าสู่ภาวะ Reflationary เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี

เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ญี่ปุ่นได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหลัง COVID-19 ที่ทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น เช่น ต้นทุนพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงเงินเยนที่อ่อนค่า ส่งผลให้บริษัทญี่ปุ่นต้องปรับขึ้นราคาสินค้าเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี และตามมาด้วยการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน

ผลลัพธ์คือ เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มเข้าสู่สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตแบบ Nominal Growth (รวมเงินเฟ้อ) มากขึ้น และหลุดจากภาวะเศรษฐกิจแบบ Stagnation (เศรษฐกิจชะลอตัว) ที่ยืดเยื้อมานานหลายปี (ดูกราฟ 1) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีความสำคัญต่อตลาด เพราะ Norminal Growth ที่ดีขึ้น หมายถึง แนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ดีขึ้นเช่นกัน

2. แรงสนับสนุนเชิงนโยบายจากทั้ง BOJ และรัฐบาลใหม่

ในด้านนโยบายด้านการเงิน แม้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับดอกเบี้ยขึ้นเป็น 0.5% เพื่อรับมือเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นโยบายการเงินลักษณะนี้ยังถือว่าผ่อนคลาย เพราะอัตราดอกเบี้ยปรับด้วยเงินเฟ้อยังคงอยู่ที่ -2.4% เท่านั้น ทำให้ต้นทุนทางการเงินยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อ ดังนั้น ภาคเอกชนและภาคครัวเรือนญี่ปุ่นยังคงมีแรงกระตุ้นให้กู้ยืม ใช้จ่าย และลงทุนต่อไป

ขณะที่ รัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ Sanae Takaichi มีแผนเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดย ‘Sanaenomics’ จะเน้นนโยบายการคลังแบบขยายตัว ซึ่งมีรากฐานมาจากยุค ‘Abenomics’ และสอดคล้องกับแนวโน้มของประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่เน้นการเพิ่มงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (อ่านเพิ่มเติมได้ใน 2025 Macro Outlook: ‘FAT’ คือ New Normal) โดยเร็วๆ นี้ นายกฯ Takaichi เตรียมที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 17 ล้านล้านเยน (ประมาณ 110,000 ล้านดอลลาร์ฯ) (1) หรือราว 2-3% ของ GDP พร้อมส่งสัญญาณว่าจะเน้นการลงทุนใน AI เซมิคอนดักเตอร์ ความมั่นคงด้านพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และกลาโหม

ทั้งนี้ ตลาดได้ตอบรับผลการเลือกตั้งของ Takaichi ในเชิงบวก เพราะนักลงทุนมองว่าทิศทางนโยบายโดยรวมของรัฐบาลใหม่ จะช่วยสนับสนุนศักยภาพการเติบโตระยะยาวของญี่ปุ่น แม้ว่านโยบายดังกล่าวอาจทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า และเมื่อบวกกับแรงหนุนจากภาวะ Reflation และการปฏิรูปภาคเอกชนที่ยังคงดำเนินต่อไป (อ่านเพิ่มเติมด้านล่าง) ก็อาจช่วยหนุนกำไรของภาคเอกชน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่ Takaichi ให้ความสำคัญ

3. ยุคเปลี่ยนผ่านของบริษัทญี่ปุ่น ผ่านการปฏิรูปภาคเอกชนและ AI

นอกจากแรงสนับสนุนเชิงนโยบายแล้ว สองแรงขับเคลื่อนสำคัญที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าภาคเอกชนญี่ปุ่น คือ 1) การปรับปรุงบรรษัทภิบาล (Corporate Governance) อย่างต่อเนื่อง และ 2) การพัฒนา AI และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างรวดเร็ว

การปรับปรุงบรรษัทภิบาลช่วยหนุนผลตอบแทน

ตามที่เราเคยกล่าวไว้ใน 2024 H1 Macro Outlook - Part 2 ว่า การปรับปรุงบรรษัทภิบาลเริ่มทำอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยอดีตนายกฯ Shinzo Abe และได้รับแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากโครงการของตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (TSE) ในปี 2023 เพื่อปรับปรุงความสามารถในการทำกำไร และประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรต่างๆ ของบริษัทจดทะเบียนที่ให้ผลตอบแทน Underperform ตลาด (2)

ผลจากการเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มเห็นข้อมูลชัดเจนมากขึ้น (ดูกราฟ 2) โดยตัวชี้วัดผลตอบแทนและ Valuation ของหุ้นญี่ปุ่นต่างปรับตัวดีขึ้นนับตั้งแต่ TSE เริ่มโครงการดังกล่าว ซึ่งมีเป้าหมายให้บริษัทจดทะเบียนมีอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าตามบัญชี (P/B) มากกว่า 1 เท่า และผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) มากกว่า 8%

ทั้งนี้ แม้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะปรับตัวขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสรออยู่ในระยะข้างหน้า โดยข้อมูลล่าสุดของ TSE ในเดือน ก.ย. (3) พบว่า บริษัทขนาดใหญ่ราว 40% และบริษัทขนาดกลาง-เล็กราว 60% ยังมี P/B น้อยกว่า 1 เท่า และ ROE น้อยกว่า 8% แสดงให้เห็นว่า ยังมีพื้นที่อีกมากสำหรับการเติบโต สรุปคือ การปฏิรูปเหล่านี้ยังคงเป็นแรงหนุนเชิงโครงสร้างต่อปัจจัยพื้นฐานและ Valuation ของบริษัทญี่ปุ่นในระยะยาว

ภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเตรียมรับประโยชน์จากการลงทุนด้าน AI

ญี่ปุ่นยังน่าจะได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุน AI และโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล โดยญี่ปุ่นถือเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว และต้องเผชิญแรงกดดันด้านโครงสร้างประชากร เช่น ผู้สูงอายุและการขาดแคลนแรงงาน ทำให้ภาคเอกชนต้องลงทุนในระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยี เพื่อเพิ่ม Productivity มานานหลายปี เห็นได้จากการลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละประมาณ 6-7% ตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากปัญหาแรงงานและความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งขึ้น

ปัจจัยภายในประเทศเหล่านี้ ยังมาบรรจบกับเทรนด์ AI ในระดับโลก เนื่องจากญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญใน Value Chain ของ AI ผ่านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์ และเครื่องจักรความแม่นยำสูงที่ใช้ในการผลิตฮาร์ดแวร์ AI โดยบริษัทอย่าง Tokyo Electron, ROHM และ Murata มีส่วนสำคัญต่อระบบ Supply Chain โลก เช่น การผลิตเซ็นเซอร์ประสิทธิภาพสูง อุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ และระบบอัตโนมัติสำหรับฮาร์ดแวร์ AI นอกจากนี้ บริษัทญี่ปุ่นยังทุ่มเงินลงทุนมหาศาลในต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น SoftBank ที่ลงทุน 30,000 ล้านดอลลาร์ฯ ใน OpenAI (4) แสดงให้เห็นความพยายามของญี่ปุ่นในการเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับนานาชาติ

ขณะที่ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI ในญี่ปุ่นก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยกลุ่ม Hyperscalers ระดับโลก ประกาศแผนลงทุนสร้าง Data Centre ในญี่ปุ่น ประมาณ 4 ล้านล้านเยน (ราว 28,000 ล้านดอลลาร์ฯ) (5) และยังมีคาดการณ์ว่า Capacity ของ Data Centre จะเติบโตปีละ 12-14% ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุน Demand ของระบบไฟฟ้า อุปกรณ์เชื่อมต่อ และฮาร์ดแวร์เฉพาะทาง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นจุดแข็งของผู้ผลิตญี่ปุ่นหลายราย

ปัจจัยทั้งหมดนี้ล้วนชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า AI กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่น และแนวโน้มกำไรของภาคเอกชนในระยะยาว

4. การปรับปรุงโครงสร้างตลาดหุ้น ผ่านการซื้อหุ้นคืนและ Demand ภายในประเทศ

โครงสร้างตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยเฉพาะความสมดุลระหว่าง Demand และ Supply กำลังปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากปริมาณการซื้อหุ้นคืนที่เพิ่มขึ้น และการมีส่วนร่วมของนักลงทุนภายในประเทศที่ขยายตัว

ในด้าน Supply การปฏิรูปบรรษัทภิบาลได้กระตุ้นให้บริษัทเอกชนซื้อหุ้นคืนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดจำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาด ทำให้กำไรต่อหุ้น (EPS) ดีขึ้น เพิ่มอัตราส่วนผลตอบแทนให้นักลงทุน และช่วยหนุนราคาหุ้นในตลาด

ตามที่เห็นในกราฟ 3 ว่าการซื้อหุ้นคืนพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 20 ล้านล้านเยน (ราว 130,000 ล้านดอลลาร์ฯ) ในปี 2024 หรือราว 2% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด และเทียบเท่าการซื้อหุ้นคืนในสหรัฐ (การซื้อหุ้นคืนถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับผลตอบแทนของตลาดสหรัฐเช่นกัน) ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวยังคงแข็งแกร่งในปีนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าจะมีการซื้อหุ้นคืนทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง

ในด้าน Demand เม็ดเงินจากนักลงทุนภายในประเทศผ่านโครงการ Nippon Individual Savings Account (NISA) ฉบับปรับปรุงใหม่ ได้ช่วยขยายฐานนักลงทุนรายย่อยของญี่ปุ่น โดยปัจจุบัน ยอดเงินลงทุนสะสมได้ปรับตัวขึ้นเกินระดับ 59 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นเป้าหมายของรัฐบาลในปี 2027 อย่างไรก็ตาม เงินลงทุนส่วนใหญ่ยังคงไหลไปที่กองทุนหุ้นต่างประเทศ โดยเราประเมินว่า เม็ดเงินลงทุนผ่าน NISA ทั้งหมดในช่วง H1/2025 อยู่ที่ราว 5.5 ล้านล้านเยน (ราว 35,500 ล้านดอลลาร์ฯ) แต่มีเพียง 400,000 ล้านเยน หรือราว 7% เท่านั้นที่ลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นโดยตรงหรือผ่านกองทุนหุ้นโลก 

แม้ว่ายอดเงินลงทุนนี้จะดูน้อยเมื่อเทียบกับการซื้อหุ้นคืน 20 ล้านล้านเยน แต่ NISA ก็เป็นช่องทางที่ยั่งยืนสำหรับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในระยะยาว แม้ว่าผลกระทบในระยะสั้นที่มีต่อหุ้นในประเทศจะยังค่อนข้างจำกัดก็ตาม

‘เงินเยน’ ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติควรพิจารณา

สำหรับนักลงทุนต่างชาติ ความเสี่ยงสำคัญคือ ค่าเงินเยน โดยเฉพาะเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เพราะหลายปัจจัยทั้งในและนอกประเทศ อาจยังกดดันให้เงินเยนอ่อนค่า

  • เงินดอลลาร์ฯ อาจแข็งค่าอีกครั้ง หลังความวุ่นวายในปี 2025: ตามที่เรากล่าวไว้ใน 2025 Mid-Year Outlook: ตลาดแค่พักร้อนหรือการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่กำลังจะมา? ว่าค่าเงินดอลลาร์ฯ ได้กลับเข้ามาใกล้ระดับ Neutral หรือเป็นกลางแล้ว โดยการที่ Fed ได้เริ่มวงจรการลดดอกเบี้ยอีกครั้งในขณะที่ความเสี่ยง Recession ยังอยู่ในระดับต่ำ จึงมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐอาจ ‘เดินหน้าอย่างร้อนแรง’ ไปจนถึงช่วง H1/2026 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการสนับสนุนจากนโยบายการคลังเพิ่มเติมจากกฎหมาย One Big Beautiful Bill (OBBB) ในขณะที่สหรัฐจะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือน พ.ย. 2026 ปัจจัยทั้งหมดนี้จึงอาจทำให้เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้น และทำให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐกับญี่ปุ่นขยายตัวขึ้นอีกครั้ง

  • การอ่อนค่าของเงินเยนอาจเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น: ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า นโยบายเศรษฐกิจ ‘Sanaenomics’ จะเน้นนโยบายการคลังแบบขยายตัวมากขึ้น ขณะที่ BOJ ก็กำลังปรับนโยบายการเงินให้กลับมาอยู่ในจุดสมดุลแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเงินเยนยังถือเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับกลยุทธ์ Reflation ของญี่ปุ่นมาตั้งแต่ยุค Abenomics แม้ว่า BOJ จะเข้ามาแทรกแซงการอ่อนค่าของเงินเยนที่ค่อนข้างรุนแรงในปี 2024 (เงินเยนแตะระดับ 160 เยน/ดอลลาร์ฯ) แต่ล่าสุด BOJ ยังไม่ได้เข้ามาแทรกแซงการเคลื่อนไหวของเงินเยนในครั้งนี้ ดังนั้น ปัจจัยทั้งหมดก็อาจทำให้เงินเยนอยู่ภายใต้แรงกดดันในระยะสั้นต่อไป

เรื่องนี้มีความสำคัญ เพราะการเคลื่อนไหวของค่าเงินสามารถส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนของนักลงทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าการอ่อนค่าของเงินเยนมักจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทญี่ปุ่น เนื่องจากเงินเยนที่อ่อนค่าจะทำให้กำไรจากต่างประเทศเมื่อแลกเป็นเงินเยนเพิ่มสูงขึ้น ช่วยหนุนรายได้จากการส่งออก และช่วยเพิ่ม Margin กำไรสำหรับผู้ส่งออกในกลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค และเทคโนโลยี ซึ่งมีต้นทุนส่วนใหญ่อยู่ภายในประเทศ

ตามที่เห็นในกราฟ 4 ว่าช่วงเวลาที่เงินเยนอ่อนค่ามักเกิดขึ้นพร้อมกับผลตอบแทนจากตลาดหุ้นที่แข็งแกร่ง ในทางกลับกัน เงินเยนที่แข็งค่ามักเป็นอุปสรรคต่อกำไรและผลตอบแทนของตลาดในระยะสั้น

มุมมองหุ้นญี่ปุ่นยังคงเป็นบวก แต่ต้องเฝ้าระวังเรื่องค่าเงิน 

ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดยังคงสนับสนุนมุมมองเชิงบวกที่มีต่อหุ้นญี่ปุ่น โดยเทคโนโลยีการลงทุน Economic Regime Asset Allocation (ERAA™) ของเรา ยังคง Overweight สินทรัพย์ประเภทนี้ เนื่องจาก 1) ภาวะ Reflation ยังดำเนินต่อไป 2) แรงสนับสนุนเชิงนโยบาย 3) การปฏิรูปภาคเอกชน และ 4) การปรับปรุงโครงสร้างตลาด ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของญี่ปุ่นในระยะยาว

สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่ถือครองหุ้นญี่ปุ่นในสกุลเงินดอลลาร์ฯ ความเสี่ยงเรื่องค่าเงินยังเป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะยังสนับสนุนตลาดหุ้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่เงินเยนจะอ่อนค่าลงกว่านี้ ซึ่งจะกระทบต่อผลตอบแทนในสกุลเงินดอลลาร์ฯ ดังนั้น การลงทุนด้วยวิธี Hedging ค่าเงิน จะช่วยให้นักลงทุนยังคง Stay Invested ในญี่ปุ่นต่อไปได้ โดยไม่ต้องรับผลกระทบจากการแข็งหรืออ่อนค่าของเงินเยนมากเกินไป แต่สำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการ Hedging ค่าเงิน ปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นญี่ปุ่นในระยะยาวยังคงเหมือนเดิม แต่การเคลื่อนไหวของค่าเงินอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานในระยะข้างหน้า

เช่นเคย เราจะยังคงติดตามนโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่น แนวโน้มกำไรของภาคเอกชน และการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนอย่างใกล้ชิด และจะคอยอัปเดตสถานการณ์ให้นักลงทุนทราบอีกครั้งหากมีการเปลี่ยนแปลง

Authors

Stephanie Leung, Group Chief Investment Officer

ในฐานะ Group Chief Investment Officer คุณ Stephanie และทีมงานของเธอเป็นผู้ดูแลผลิตภัณฑ์และพอร์ตการลงทุนทั้งหมดของ StashAway โดยเธอมีประสบการณ์ด้านการลงทุนแบบ Multi-asset มากกว่า 20 ปี ซึ่งก่อนที่จะเข้าร่วมกับ StashAway ในปี 2020 เธอเคยบริหารพอร์ตการลงทุนให้กับสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง Goldman Sachs และ Family Offices ขนาดหลายพันล้านดอลลาร์ฯ ภายในภูมิภาค

Justin Jimenez, Head of Macro and Investment Research

คุณ Justin มีประสบการณ์ด้านการวิจัยเศรษฐกิจและการลงทุนมากกว่าทศวรรษ และมีบทบาทสำคัญในการสร้างมุมมองเศรษฐกิจโลกและสินทรัพย์ต่างๆ ให้ทีมงานด้านการลงทุนของ StashAway โดยก่อนที่จะเข้าทำงานกับ StashAway ในปี 2022 คุณ Justin เคยเป็นนักเศรษฐศาสตร์อยู่ที่ Bloomberg 

References

  1. Reuters. (2025). Japan considering stimulus package sized around 17 trln yen, Nikkei says. Retrieved from: https://www.reuters.com/world/asia-pacific/japan-considering-stimulus-package-sized-around-17-trln-yen-nikkei-says-2025-11-14/
  2. Japan Exchange Group. (2025). Action to Implement Management that is Conscious of Cost of Capital and Stock Price (Prime and Standard Markets). Retrieved from: https://www.jpx.co.jp/english/equities/follow-up/02.html
  3. Tokyo Stock Exchange. (2025). Status Update and Future Initiatives Regarding "Action to Implement Management That is Conscious of Cost of Capital and Stock Price". Retrieved from: https://www.jpx.co.jp/english/equities/follow-up/b5b4pj000004yqcc-att/sjcobq0000024jxu.pdf
  4. SoftBank Group Corp. (2025). Q2 FY2025 Earnings Results Investor Briefing. Retrieved from: https://group.softbank/media/Project/sbg/sbg/pdf/ir/presentations/2025/investor-presentation_q2fy2025_01_en.pdf
  5. Wood Mackenzie. (2025). Japan's data centre boom to drive 60% of power demand growth as US$28 billion hyperscaler investment reshapes grid. Retrieved from: https://www.woodmac.com/press-releases/japan-data-centers-power-demand/

แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email