ผลการดำเนินงาน Q3/2025 ของ StashAway
หลังผ่านความผันผวนในช่วงครึ่งปีแรก เราก็ได้เห็นการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์หลักเกือบทุกประเภทใน Q3/2025 โดยทองคำยังคงพุ่งแรงต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนยังคงต้องการสินทรัพย์ Safe-haven ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั่วโลก ส่วนตลาดหุ้นเองก็ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น โดยได้รับแรงหนุนจากกำไรที่แข็งแกร่งของภาคเอกชนและการตื่นตัวเรื่อง AI ขณะที่ ตลาดตราสารหนี้โดยรวมแทบไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งภาพรวมทั้งหมดนี้กลายเป็นแรงหนุนให้กับพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดี ดังที่เห็นในกราฟ 1 ด้านล่าง
ในช่วง ‘Everything Rally’ นี้ พอร์ต General Investing ซึ่งเป็นพอร์ต Flagship ของเรา สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างแข็งแกร่ง โดยทำผลตอบแทน YTD ได้ระหว่าง +7.3% (ความเสี่ยงต่ำสุด) ถึง +18.7% (ความเสี่ยงสูงสุด) ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +6.8% ถึง +18.1% หลังหักค่าธรรมเนียม หรือเฉลี่ย +14.1% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +13.6% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งดีกว่า Benchmark แบบดั้งเดิมที่มีแค่หุ้นและตราสารหนี้
ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอนี้เกิดขึ้นเพราะเทคโนโลยีการลงทุน Economic Regime-based Asset Allocation (ERAA™) ของเรา ช่วยบริหารความเสี่ยงเชิงมหภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้พอร์ตของคุณมีการกระจายการลงทุนที่ดีในหุ้นทั่วโลก ตราสารหนี้ และทองคำ

แล้วผลการดำเนินงานของ StashAway ใน Q3/2025 เป็นอย่างไร เราสรุปไว้ในบทความนี้:
- พอร์ต General Investing และ Goal-based Investing (ใช้พอร์ตบริหารเดียวกันจึงสามารถดูผลการดำเนินงานร่วมกันได้)
- Thematic Portfolio
พอร์ต General Investing และ Goal-based Investing
ใน Q3/2025 พอร์ต General Investing และ Goal-based Investing ทำผลตอบแทนได้อย่างแข็งแกร่ง โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +4.4% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +4.2% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ (+4.0% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +3.9% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินบาท) เมื่อเทียบกับ Same-risk Benchmark* ที่ +4.6% โดยเฉลี่ย (ที่ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมที่กองทุนรวมมักเรียกเก็บเฉลี่ยอยู่ที่ 1% ถึง 2% ต่อปี) ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ และ Benchmark แบบดั้งเดิมที่มีแค่หุ้นและตราสารหนี้ที่ +3.7% โดยเฉลี่ย
สำหรับผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือน พอร์ต General Investing และ Goal-based Investing ยังคงให้ผลตอบแทนแข็งแกร่งในทุกระดับความเสี่ยง โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +10.8% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +10.1% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ (+11.6% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +10.9% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินบาท) เมื่อเทียบกับ Same-risk Benchmark* ที่ +11.7% โดยเฉลี่ยในสกุลเงินดอลลาร์ฯ หรือ Benchmark แบบดั้งเดิม (มีแค่หุ้นและตราสารหนี้) ที่ +9.1% โดยเฉลี่ยในสกุลเงินดอลลาร์ฯ


การกระจายการลงทุนยังคงสร้างผลตอบแทนได้ดี โดยมีทองคำเป็นผู้นำ
กลยุทธ์กระจายการลงทุนไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะตอนตลาดผันผวน แต่ยังช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีเมื่อสินทรัพย์หลายประเภทปรับตัวขึ้นพร้อมกัน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วง Q3/2025 ที่หุ้น ทองคำ และสินทรัพย์อื่นๆ ต่างให้ผลตอบแทนที่แข็งแกร่ง พอร์ต General Investing และ Goal-based Investing จึงได้รับแรงหนุนจากหลากหลายสินทรัพย์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทองคำที่มีบทบาทสำคัญอีกครั้ง โดยเราได้เพิ่มทองคำเข้ามาใน Benchmark ตั้งแต่เดือน เม.ย. 2024 ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก ทองคำช่วยลดความผันผวนในช่วงที่ตลาดตึงเครียด (เช่น การประกาศ ‘Liberation Day’) ส่วนในช่วง Q3/2025 ทองคำกลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของผลตอบแทนในพอร์ต เมื่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองผลักดันให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ Safe-haven ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของทองคำที่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยขับเคลื่อนผลตอบแทนของพอร์ตอีกด้วย
กราฟ 2 ด้านล่าง แสดงให้เห็นว่า การเพิ่มทองคำและพันธบัตรสหรัฐระยะสั้นเข้าไปใน Benchmark ของเรา ช่วยเพิ่มผลตอบแทนปรับด้วยความเสี่ยง (Risk-adjusted Returns) ในทุกพอร์ตของเรา โดยเฉพาะพอร์ตความเสี่ยงต่ำ โดยในปีนี้ Benchmark ที่รวมทองคำ (สีน้ำเงินเข้ม) ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า Benchmark แบบดั้งเดิมที่มีแค่หุ้นและตราสารหนี้ (สีเทา) สะท้อนให้เห็นบทบาทของทองคำที่เปลี่ยนไปในปี 2025 ทั้งในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงในช่วงตลาดผันผวน และช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ราคาปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง

ทองคำยังคงปรับตัวขึ้นจากความต้องการสินทรัพย์ Safe-haven และแรงซื้อจากธนาคารกลาง
ทองคำยังทำผลตอบแทนได้อย่างแข็งแกร่งใน Q3/2025 โดยปรับตัวขึ้นอีก 15% (ราว 45% YTD) และช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ต GeneraI Investing ราว 0.5-1.6 จุดเปอร์เซ็นต์ ใน Q3/2025 และ 1.3-4.4 จุดเปอร์เซ็นต์ YTD (แล้วแต่ระดับความเสี่ยงที่เลือก)
สาเหตุที่ทองคำพุ่งขึ้นต่อเนื่องมีด้วยกันหลายประการ เช่น สงครามการค้าที่ยังสร้างความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกัน แม้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐจะยังคงอยู่ในช่วง 2% ปลายๆ แต่ Fed ก็ยังส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ทองคำจึงได้รับแรงหนุนจากทั้งความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและ Yield พันธบัตรที่มีแนวโน้มลดลง นอกจากนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกก็เป็นแรงหนุนสำคัญเช่นกันเนื่องจากพวกเขาหันมาเพิ่มการถือครองทองคำแทนพันธบัตรสหรัฐ เพราะความกังวลเรื่องหนี้รัฐบาลสหรัฐ ขณะเดียวกัน Demand จากนักลงทุนโดยรวมก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำอย่างต่อเนื่องตลอดทั้ง Q3/2025
สำหรับพอร์ตที่มีเทคโนโลยี ERAA™ ช่วยบริหาร ทองคำมี 2 บทบาทควบคู่กัน ได้แก่ 1) เป็นแหล่งสร้างผลตอบแทน และ 2) เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงในตลาด ซึ่งแรงขับเคลื่อนเชิงโครงสร้างที่ยังสนับสนุนสินทรัพย์ประเภทนี้ อาจเป็นสัญญาณว่าหากราคาทองคำมีการปรับฐาน ก็อาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาวในการเข้าลงทุน
หุ้นยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยแรงหนุนจาก AI ช่วยให้ตลาดสหรัฐลดช่องว่างจากประเทศอื่นๆ
ใน Q3/2025 ตลาดหุ้นเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของผลตอบแทนในพอร์ต โดยตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นสหรัฐต่างปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดสำหรับพอร์ตของเราคือ การที่ตลาดหุ้นสหรัฐไล่ทันตลาดหุ้นโลก หลังจากที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าในช่วงครึ่งปีแรก โดยดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 8.1% ใน Q3/2025 สูงกว่าตลาดหุ้นโลก (ไม่รวมสหรัฐ) ที่บวก 6.7%
การกระจายการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมทั้งตลาดสหรัฐและนอกสหรัฐ เป็นปัจจัยที่สร้างผลตอบแทนมากที่สุด โดยช่วยเพิ่มผลตอบแทนรวมได้ถึง 1.3 จุดเปอร์เซ็นต์ ขณะที่การลงทุนในดัชนี S&P 500 และตลาดหุ้นโลก (ไม่รวมสหรัฐ) ต่างช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้พอร์ตฝั่งละประมาณ 1 จุดเปอร์เซ็นต์
สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐ แรงขับเคลื่อนสำคัญใน Q3/2025 คือเทรนด์ AI ซึ่งมีผลต่อทั้งบรรยากาศการลงทุนและผลการดำเนินงานในตลาด และสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนในผลตอบแทนของแต่ละกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม IT กลุ่มบริการด้านการสื่อสาร และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งทั้งหมดกี่ยวข้องกับการนำ AI มาใช้ และเป็นกลุ่มที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุด (ดูกราฟ 3) โดยการมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีเหล่านี้มีส่วนช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตประมาณ 1 จุดเปอร์เซ็นต์

ไตรมาสที่ผ่านมาได้ตอกย้ำว่า ‘ผู้นำตลาด’ สามารถผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนได้ตลอดเวลา โดยก่อนหน้านี้ นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดสหรัฐเพียงแห่งเดียว อาจรู้สึกอึดอัดในช่วงครึ่งปีแรก เพราะตลาดหุ้นโลกทำผลตอบแทนได้ดีกว่า ส่วนนักลงทุนที่หลีกเลี่ยงการลงทุนในสหรัฐไปเลย ก็อาจพลาดโอกาสจากแรงหนุนของหุ้นเทคโนโลยีใน Q3/2025 ดังนั้น พอร์ต GeneraI Investing ของเรา ซึ่งมีการกระจายการลงทุนที่ดีในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจ และภูมิภาค จึงสามารถเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากตลาดหุ้นสหรัฐใน Q3/2025 ได้ ขณะเดียวกันก็ยังสามารคว้าโอกาสที่เกิดขึ้นในภูมิภาคอื่นๆ ได้อย่างสมดุล
ในระยะข้างหน้า กำไรของภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026 โดยนักวิเคราะห์คาดว่า ตลาดหุ้นโลกจะมีคาดการณ์กำไรล่วงหน้าเติบโตขึ้นเกิน 8% และราว 10% สำหรับดัชนี S&P 500 ซึ่งเราประเมินว่าเม็ดเงินลงทุนด้าน AI จะยังคงเป็นแรงหนุนเชิงโครงสร้างที่สำคัญต่อบางกลุ่มธุรกิจในตลาดหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ Data Centre และโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน
ในระยะยาว การนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลายในหลากหลายอุตสาหกรรมอาจช่วยยกระดับ Productivity และ Margin กำไร ซึ่งจะช่วยให้อัตราการเติบโตของกำไรขยายวงกว้างไกลออกไปนอกเหนือจากกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม แม้สัญญาณเบื้องต้นจะดูเป็นบวก แต่เช่นเคย การกระจายการลงทุนยังคงเป็นกลยุทธ์ที่เชื่อถือได้มากที่สุดในการสร้างผลตอบแทนที่ดี ไม่ว่าโอกาสจะเกิดขึ้นที่ใดก็ตาม(อ่านมุมมองเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AI ได้ใน 2025 Macro Outlook: ‘FAT’ คือ New Normal)
การมีสัดส่วนของตราสารหนี้ยังช่วยสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง
ในส่วนของตราสารหนี้ การบริหาร Asset Allocation ของ ERAA™ ยังช่วยสร้างผลตอบแทนเป็นบวกอย่างต่อเนื่องใน Q3/2025
- พันธบัตรสหรัฐระยะสั้น ยังคงเป็นแกนหลักของพอร์ต โดยช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้ 0.4 จุดเปอร์เซ็นต์ ในพอร์ตความเสี่ยงต่ำสุด ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ แม้ว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. แต่ Yield ของพันธบัตรสหรัฐระยะสั้นยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอดีตที่ราว 4% อีกทั้งยังมีความเสี่ยงด้านอายุคงเหลือ (Duration) และโอกาสผิดนัดชำระหนี้ (Credit) ต่ำมาก
- ตราสารหนี้ High Yield ช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้อีกราว 0.3 จุดเปอร์เซ็นต์ โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของภาคเอกชนและอัตราการผิดนัดชำระหนี้ (Default Rate) ที่ยังอยู่ในระดับควบคุมได้
- ตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ ก็มีส่วนช่วยหนุนผลการดำเนินงานในพอร์ตเช่นกัน โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคงและ Demand ของตราสารหนี้ที่ให้ Yield สูงกว่า
ในระยะข้างหน้า ตลาดคาดว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เอื้อต่อการลงทุนในตราสารหนี้ โดยการมีสัดส่วนของตราสารหนี้ ยังคงช่วยบริหารความเสี่ยงโดยรวมในพอร์ตของเรา และสร้างรายได้ที่มั่นคงท่ามกลางสภาวะนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น
Thematic Portfolio
ใน Q3/2025 แรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยทั่วโลกช่วยกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุนให้กลับมาอีกครั้ง ขณะเดียวกัน การลงทุนด้าน AI ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ Demand ของพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากนักลงทุนเริ่มตระหนักมากขึ้นว่าพลังงานสะอาดคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญต่อการขยายตัวของ AI ขณะที่ เทคโนโลยีบล็อกเชนก็ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม Stablecoin ส่วนกลุ่ม Healthcare ก็ได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนกลับมาให้ความสนใจกลุ่มธุรกิจไบโอเทคอีกครั้ง และการเติบโตที่มั่นคงในกลุ่มธุรกิจเภสัชกรรม


Technology Enablers
ใน Q3/2025 ธีม Technology Enablers ทำผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ +6.8% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +6.6% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ (+6.4% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +6.3% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินบาท)
ส่วนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ธีมนี้ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ +29.9% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +29.1% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ (+30.8% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +30.0% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินบาท)
กลุ่มธุรกิจบล็อกเชน เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของธีมนี้ โดยช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้ถึง 2.8 จุดเปอร์เซ็นต์ โดยแรงหนุนมาจาก Demand สินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น เช่น Stablecoin และกฎระเบียบที่ชัดเจนมากขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ การลงทุนในกลุ่มธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ และ AI ก็มีส่วนช่วยเพิ่มผลตอบแทนอีก 1.8 จุดเปอร์เซ็นต์ และ 1.6 จุดเปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ เนื่องจากเม็ดเงินลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำไรของผู้ผลิตชิปชั้นนำอย่าง Nvidia และ TSMC อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
Future of Consumer Tech
ใน Q3/2025 ธีม Future of Consumer Tech ทำผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ +4.8% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +4.6% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ (+4.5% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +4.3% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินบาท)
ส่วนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ธีมนี้ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ +23.9% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +23.5% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ (+24.8% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +24.1% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินบาท)
กลุ่มธุรกิจนวัตกรรมยานยนต์และเกมมิ่ง เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของธีมนี้ โดยสร้างผลตอบแทนได้ 3.1 จุดเปอร์เซ็นต์ และ 2.9 จุดเปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ซึ่งกลุ่มธุรกิจนวัตกรรมยานยนต์ ได้รับแรงหนุนจากกำไรที่แข็งแกร่งของหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Intel และ Alphabet รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla ขณะที่ นวัตกรรมด้านระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและ Demand ระบบขนส่งยุคใหม่ยังคงเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการเติบโตของกลุ่มนี้ ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจเกมมิ่ง ก็ได้รับแรงหนุนจากกำไรของผู้พัฒนาแพลตฟอร์มและ Content ชั้นนำอย่าง AppLovin Unity และ Roblox เนื่องจากการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานยังเติบโตต่อเนื่องทั่วทั้งระบบนิเวศเกมมือถือและเกมออนไลน์
Healthcare Innovation
ใน Q3/2025 ธีม Healthcare Innovation ทำผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ +4.8% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +4.6% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ (+4.5% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +4.3% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินบาท)
ส่วนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ธีมนี้ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ +0.1% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ -0.5% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ (+0.9% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +0.3% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินบาท)
กลุ่ม Healthcare เริ่มฟื้นตัวใน Q3/2025 หลังจากชะลอตัวในครึ่งปีแรก โดยมีกลุ่มธุรกิจไบโอเทคเป็นผู้นำ เนื่องจากความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง ผลการทดลองทางคลินิกที่ก้าวหน้ามากขึ้น และการควบรวมกิจการ (M&A) ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมา ขณะที่ กลุ่มธุรกิจเภสัชกรรม ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยได้รับแรงหนุนจากบริษัทยาชั้นนำอย่าง Johnson & Johnson และ AbbVie ในทางกลับกัน กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์ทางการแพทย์ ฉุดรั้งผลการดำเนินงานในธีมนี้ เนื่องจากความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ภาษีนำเข้าที่ยังคงอยู่ และความล่าช้าในการขออนุญาตต่างๆ
(อ่านเพิ่มเติมได้ใน CIO Insights: จับชีพจรกลุ่มธุรกิจ Healthcare)
Environment and Cleantech
ใน Q3/2025 ธีม Environment and Cleantech ทำผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ +8.7% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +8.5% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ (+8.3% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +8.2% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินบาท)
ส่วนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ธีมนี้ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ +9.9% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +9.2% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ (+10.7% ก่อนหักค่าธรรมเนียม หรือ +10.0% หลังหักค่าธรรมเนียม ในสกุลเงินบาท)
กลุ่มธุรกิจพลังงานสะอาด เป็นแรงขับเคลื่อนหลักในธีมนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากบทบาทใหม่ของพลังงานสะอาดในฐานะแหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำที่มีเสถียรภาพ เพื่อรองรับ Demand มหาศาลจากการเติบโตของ AI ทำให้กลุ่มธุรกิจยูเรเนียมกลายเป็นผู้นำในการสร้างผลตอบแทนในธีมนี้ โดยมีส่วนช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้มากถึง 11.4 จุดเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากพลังงานนิวเคลียร์ถูกมองว่าเป็นทางออกสำคัญในการรองรับ Demand พลังงานที่พุ่งสูงขึ้นจากการสร้าง Data Centre ขณะที่ กลุ่มพลังงานสะอาดประเภทอื่นๆ เช่น แสงอาทิตย์ ลม และ Smart Grid ก็มีส่วนสนับสนุนผลตอบแทนเช่นกัน สอดคล้องกับเทรนด์การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคพลังงานสะอาดทั่วโลก ส่วนกลุ่มธุรกิจนวัตกรรมยานยนต์ ก็ช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากความแข็งแกร่งของบริษัทเทคโนโลยีและผู้ผลิต EV ชั้นนำ
หมายเหตุ:
*Benchmark ที่เราใช้ในการเปรียบเทียบมาจาก FTSE All-World Index ในส่วนของหุ้น (ก่อนวันที่ 31 กรกฎาคม 2024 ใช้ MSCI All Country World Index และ ก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2023 ใช้ MSCI World Equity Index TRI) และ ใช้ FTSE World Government Bond TRI ในส่วนของตราสารหนี้ โดยหลังจากวันที่ 24 เมษายน 2024 เราได้เพิ่ม Bloomberg 1-3 Month US Treasury Bill Index ในส่วนของพันธบัตรสหรัฐระยะสั้น และ Bloomberg Gold Subindex Total Return Index ในส่วนของทองคำ เข้าไปใน Benchmark โดยน้ำหนักของ Benchmark ที่เราใช้จะมีค่าความผันผวนที่เกิดขึ้นจริง (Realized Volatility) ในระยะเวลา 10 ปีเท่ากับระดับความเสี่ยง StashAway Risk Index
ผลตอบแทนของโมเดลพอร์ตนี้เป็นมูลค่าทั้งหมดหลังหักค่าธรรมเนียม ค่าดูแลรักษาทรัพย์สิน และค่าธรรมเนียมอื่นๆ แต่ยังไม่หักภาษี ณ ที่จ่าย ภาษีกำไร และการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายของเงินปันผล โดยแบบจำลองผลการดำเนินงานนี้ทำเพื่อชี้วัดประสิทธิภาพของกลยุทธ์การลงทุน ไม่รวมปัจจัยอื่นๆ
เนื่องจากเราคิดค่าธรรมเนียมบริหารจัดการแบบก้าวหน้า ดังนั้น ค่าธรรมเนียมที่ใช้ในการคำนวณผลตอบแทนของโมเดลพอร์ตจึงสะท้อนค่าธรรมเนียมเฉลี่ยที่บริษัทเรียกเก็บจริง โดยสามารถดูรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามนโยบายการลงทุนได้ที่ https://www.stashaway.co.th/th-TH/pricing
ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงในบัญชีอาจแตกต่างจากโมเดลพอร์ต ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาดำเนินการซื้อขาย, ความแตกต่างของช่วงเวลาและความผันผวนระหว่างวันในการทำ Re-optimisation และการทำ Rebalancing, ค่าธรรมเนียม, ภาษีของเงินปันผล (และการขอคืนภาษี) และอื่นๆ โดยผลตอบแทนอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน; ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต; การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ข้อมูลนี้ไม่ถือเป็นคำเสนอ คำแนะนำ คำเชื้อเชิญ หรือการชักชวนให้ท่านซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือเข้าทำธุรกรรมใดๆ
ข้อมูลนี้ไม่ได้จัดเตรียมขึ้นโดยคำนึงถึงสถานการณ์ส่วนบุคคลของท่าน (เช่น วัตถุประสงค์การลงทุน สถานการณ์ทางการเงิน หรือความต้องการโดยเฉพาะ) ท่านควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาด้านการเงิน บัญชี ภาษี กฎหมาย และด้านอื่น ๆ ของท่านเอง

