Weekly Buzz: ตลาดมักสะท้อนความกลัว ก่อนกลับมาโฟกัสที่ปัจจัยพื้นฐาน 🌍

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นกว่า 15% มาอยู่ที่ราว 74 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งสูงสุดในรอบ 5 เดือน พร้อมจุดกระแสความกังวลไปทั่วโลก แต่ตอนนี้ไม่เพียงตลาดจะฟื้นตัว แต่ยังกลับมาอยู่ในเส้นทางที่จะทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง โดยดัชนี S&P 500 ของสหรัฐ ขึ้นมาอยู่ใกล้ระดับสูงสุดตลอดกาลที่เคยทำไว้ในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา
เกิดอะไรขึ้น?
หลังมีการประกาศหยุดยิงระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ราคาน้ำมันดิบ Brent ร่วงลงมากกว่า 6% ภายในวันเดียว ซึ่งการกลับทิศทางอย่างรุนแรงครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าตลาดสามารถเปลี่ยนจากการ Price In สถานการณ์เลวร้ายที่สุด กลับมาสู่พื้นฐานเศรษฐกิจจริงได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อรัสเซียบุกยูเครนในเดือน ก.พ. 2022 ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นถึง 40% แตะระดับ 130 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 13% ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาได้หมดภายในเวลาเพียง 6 เดือน ส่วนเหตุการณ์รุกรานอิรักในปี 2003 ก็มีรูปแบบคล้ายกัน โดยดัชนี S&P 500 ร่วงลง 5.3% ภายใน 7 วันทำการ ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาที่เดิมภายใน 16 วัน และดัชนี Dow Jones ยังพุ่งขึ้นถึง 8.4% ในเดือนถัดมาอีกด้วย
นี่คือเครื่องเตือนใจว่า ความกลัวในช่วงแรกของตลาดมักจะมากกว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริง และตลาดยังมีความสามารถในการแยกแยะ ‘ความวุ่นวายชั่วคราว’ ออกจาก ‘การเปลี่ยนแปลงระยะยาว’ ได้เสมอ
Key Takeaway
การกระจายการลงทุนได้รับการพิสูจน์อีกครั้งว่าได้ผลจริง โดยท่ามกลางความผันผวนในปี 2025 ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นได้ถึง 25% ในฐานะสินทรัพย์ Safe-haven และตลาดในแต่ละภูมิภาคก็เคลื่อนไหวแตกต่างกัน โดยขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงผันผวน แต่ตลาดอื่นๆ กลับฟื้นตัว ทำให้เราอาจพอสรุปได้ว่า ข่าวพาดหัวต่างๆ ไม่สามารถสั่นคลอนกลยุทธ์การกระจายการลงทุนที่ดีได้
เมื่อถึงจุดที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ตลาดก็ฟื้นตัวไปค่อนข้างมากแล้ว ดังนั้น การ Stay Invested ในช่วงที่ตลาดผันผวน มักให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการพยายามปรับพอร์ตตามทุกเหตุการณ์ เพราะคุณจะได้ยังอยู่ในตลาดตอนที่มันฟื้นตัวกลับมาแล้วเสมอ
(หากคุณกำลังมองหาพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดี ลองดูพอร์ต General Investing ของเรา 😎)

💡 Investors’ Corner: ‘ทองคำ’ เงียบๆ แต่ทรงพลัง
ทองคำไม่สร้างรายได้ ไม่จ่ายปันผล และไม่มี CEO แต่ทุกครั้งที่โลกเผชิญกับความไม่แน่นอน เช่น ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลที่ผ่านมา ทองคำกลับกลายเป็นสินทรัพย์ที่ทรงพลังขึ้นมาอย่างมาก ไม่เหมือนกับเงินที่พิมพ์ออกมาโดยรัฐบาล ทองคำไม่สามารถถูกอายัด เพิ่มปริมาณ หรือถูกแฮ็กได้
นี่คือเหตุผลที่ธนาคารกลางทั่วโลกต่างกำลังเร่งสะสมทองคำตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา พวกเขาซื้อทองคำมากกว่า 1,000 ตันต่อปี ซึ่งสูงที่สุดในรอบกว่า 50 ปี

การซื้อทองคำไม่ได้มีสาเหตุมาจากเรื่องเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว (แม้ทองคำจะเป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อยอดนิยม)
แต่มันเกี่ยวกับความปลอดภัยด้วย โดยตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดให้ความเชื่อมั่นกับเงินดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยสูงสุด แต่วันนี้ความเชื่อนั้นเริ่มถูกสั่นคลอน และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ ความหายากของทองคำ ซึ่งไม่เหมือนกับเงินเฟียต (อ่านเพิ่มเติมได้ใน Simply Finance) เพราะทองคำมีปริมาณเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 1.7% ต่อปีเท่านั้น
สำหรับนักลงทุน ทองคำเป็นตัวช่วยกระจายความเสี่ยงที่ดี เพราะสามารถยืนหยัดได้แม้ในยามที่มีความเสี่ยงด้าน เงินเฟ้อ การเมือง หรือเมื่อความไม่มั่นคงทางการเงินเริ่มส่งผลกระทบต่อตลาด นอกจากนั้นทองคำยังมักเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับหุ้นและค่าเงินดอลลาร์ฯ โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจหรือตลาดเผชิญความไม่แน่นอน
คุณไม่จำเป็นต้องทุ่มเงินลงทุนทั้งหมดในทองคำ แค่มีสัดส่วนไว้ราว 5%-10% ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ และก็ไม่จำเป็นต้องเดินเข้าร้านทอง เพราะทุกวันนี้มีทางเลือกอย่าง ETF ทองคำ ที่ช่วยให้คุณลงทุนในทองคำได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
(หากคุณต้องการลงทุนใน ETF ทองคำแบบปรับสัดส่วนได้ตามใจ ลองดู Flexible Portfolio ของเรา)
เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize
🎓 Simply Finance: เงินเฟียต (Fiat Currency)

ไม่เหมือนกับเงินในอดีตที่มีทองคำหรือแร่เงินหนุนหลัง เงินเฟียตในปัจจุบัน เช่น ดอลลาร์ฯ หรือยูโร มีมูลค่าจากการที่ยังสามารถใช้ซื้อสินค้าได้ทั่วโลก และประชาชนยังเชื่อมั่นรัฐบาลที่ออกเงินเหล่านั้น คล้ายๆ กับตั๋วคอนเสิร์ตที่มีค่า เพราะทุกคนยอมรับว่าตั๋วนั้นให้สิทธิ์เจ้าของตั๋วเข้าไปชมการแสดงได้ ไม่ใช่เพราะกระดาษที่ใช้พิมพ์ตั๋วมีมูลค่าในตัวเอง