Weekly Buzz: นโยบายภาษีนำเข้าของ Trump เจออุปสรรค 🚧

การทำสงครามการค้าของประธานาธิบดี Donald Trump เจออุปสรรคทางกฎหมายครั้งใหญ่ โดยวันศุกร์ที่แล้ว ศาลอุทธรณ์สหรัฐได้มีคำตัดสินว่า Trump ใช้อำนาจเกินขอบเขตด้วยการอ้าง ‘อำนาจในสถานการณ์ฉุกเฉิน’ เพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้าทั่วโลกเมื่อต้นปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีนำเข้าของ Trump ก็ยังมีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 14 ต.ค. นี้ ระหว่างรอคำตัดสินจากศาลสูงสุดของสหรัฐ
เกิดอะไรขึ้น?
เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา Trump ใช้กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ซึ่งปกติออกแบบมาเพื่อใช้คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินระดับชาติ แต่ครั้งนี้กลับถูกนำมาใช้เพื่อทำสงครามการค้า ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ราว 19% จากเพียง 2.3% เมื่อสิ้นปี 2024 ตามรายงานของ J.P. Morgan Global Research

ศาลอุทธรณ์ระบุว่า IEEPA ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับมาตรการกีดกันทางการค้าในวงกว้างเช่นนี้ ซึ่งถือเป็นไม่กี่ครั้งที่มีการตรวจสอบและจำกัดอำนาจของฝ่ายบริหารตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ด้วยองค์คณะผู้พิพากษาของศาลสูงสุดที่ส่วนใหญ่เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม คำตัดสินสุดท้ายจึงยังไม่แน่นอน
ส่งผลอย่างไรต่อนักลงทุน?
คำตัดสินครั้งนี้อาจฟังดูเหมือนเป็นข่าวดีต่อการค้าโลก แต่ในความเป็นจริงกลับเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดการเงินมากขึ้นไปอีก เพราะแม้ในท้ายที่สุด ศาลจะตัดสินให้ยกเลิกภาษีเหล่านี้ แต่ทีมงานของ Trump ก็ได้ส่งสัญญาณแล้วว่ามี ‘แผนสำรอง’ เช่น การเก็บภาษีนำเข้ารายกลุ่มธุรกิจ หรือแม้กระทั่งการรื้อฟื้นกฎหมาย Smoot-Hawley Tariff Act จากช่วงทศวรรษ 1930 ขึ้นมาใช้
นักลงทุนจึงยังคงเฝ้าระวังต่อไป โดยหลังจากข่าวนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลง ขณะที่ Yield ของพันธบัตรสหรัฐระยะยาว ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนต้องประเมินความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจรอบใหม่ และความกังวลก็ไม่ได้อยู่ที่เรื่องภาษีนำเข้าเพียงอย่างเดียว แต่คือความคาดเดาไม่ได้ที่ทำให้ภาคธุรกิจและนักลงทุนประเมินความเสี่ยงได้ยากขึ้น
ทั้งนี้ กระบวนการทางกฎหมายอาจยืดเยื้อไปอีกหลายเดือน และผลลัพธ์ยังคงห่างไกลจากความแน่นอน เหตุการณ์นี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการมีพอร์ตการลงทุนที่ยืดหยุ่น มีการกระจายการลงทุนที่ดีในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจ และภูมิภาค เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในทุกสถานการณ์
(หากคุณกำลังมองหาพอร์ตที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ ลองดูพอร์ต General Investing ของเรา)
เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize
💡 Investor’s Corner: วิธีลงทุนในเมกะเทรนด์อย่างถูกต้อง

การลงทุนแบบ Thematic อาจฟังดูเหมือนง่าย แค่เลือกเทรนด์ที่คุณเชื่อมั่นแล้วลงทุนตามเทรนด์นั้น แต่ในความเป็นจริง มันไม่ได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้น เพราะในตลาดมีเมกะเทรนด์ให้เลือกมากมาย และยังมีออกมาใหม่เรื่อยๆ ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการรู้วิธีแยก ‘โอกาสจริงๆ’ ออกจาก ‘กระแสชั่วคราว’
อย่างแรกต้องเริ่มด้วยความชัดเจน โดยกองทุนแบบ Thematic ที่มีประสิทธิภาพ มักจะมีโฟกัสที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น กองทุนพลังงานสะอาดน่าจะเข้าใจง่ายกว่ากองทุน Climate Change ซึ่งอาจกระจายการลงทุนในหลายร้อยบริษัท ทั้งแบตเตอรี่ รถ EV และเกษตรกรรม นักลงทุนจึงควรพิจารณาให้รอบคอบว่ากองทุนนั้นๆ ลงทุนในอะไร โดยมองหากองทุนที่ลงทุนในบริษัทที่สร้างรายได้หลักจากธีมที่คุณเลือกจริงๆ
นอกจากนี้ การลงทุนแบบ Thematic จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อใช้เป็นพอร์ตเสริม ไม่ใช่เพื่อแทนที่พอร์ตหลักที่มีการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมอยู่แล้ว ซึ่งหากเลือกได้อย่างถูกต้อง กองทุน Thematic เหล่านี้จะช่วยให้คุณคว้าโอกาสการเติบโตเฉพาะด้านที่ตลาดโดยรวมอาจครอบคลุมได้ไม่มากพอ โดยหัวใจสำคัญคือการเลือกกองทุนที่เปิดโอกาสให้คุณเข้าถึงธีมที่คุณเชื่อมั่นได้อย่างตรงจุด และสอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนในภาพรวม
(หากคุณกำลังมองหาพอร์ตแบบ Thematic ที่ผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี ลองดู Thematic Portfolio ของเรา)
📖 รอบรู้เรื่องลงทุน: กฎหมาย Smoot-Hawley Tariff Act

กฎหมายนี้ลงนามโดยประธานาธิบดี Herbert Hoover ของสหรัฐเมื่อปี 1930 เพื่อปรับขึ้นภาษีนำเข้ากว่า 20,000 รายการ โดยมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องเกษตรกรและโรงงานอเมริกันในช่วงเริ่มต้นของ Great Depressionหรือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม เมื่อประเทศคู่ค้าต่างตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีเช่นกัน ส่งผลให้การค้าโลกหดตัวลงราว 25% และยิ่งทำให้วิกฤติเศรษฐกิจรุนแรงขึ้นโดยปัจจุบันนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองกฎหมายฉบับนี้เป็นบทเรียนเกี่ยวกับแนวคิด Protectionism หรือการกีดกันทางการค้า และผลกระทบของมันที่สามารถลุกลามเกินควบคุม