Weekly Buzz: โอกาสของหุ้นขนาดเล็ก 💪

ขนาดไม่ใช่ทุกอย่างในตลาดหุ้น เพราะหุ้นขนาดเล็กหรือบริษัทที่มี Market Cap ระหว่าง 300 ล้านถึง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กำลังทำผลงานได้ดีกว่าบริษัทใหญ่ๆ ในหลายตลาดหลักทั่วโลก และแนวโน้มนี้ก็กำลังดำเนินต่อไป
เกิดอะไรขึ้น?
นับตั้งแต่ตลาดปรับฐานในช่วง ‘Liberation Day’ เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ดัชนี Russell 2000 (หุ้นขนาดเล็ก) ให้ผลตอบแทนมากถึง 24.3% สูงกว่าดัชนี S&P 500 (หุ้นขนาดใหญ่) ที่ทำได้ 21.7% ซึ่งถือว่าน่าประทับใจเมื่อพิจารณาว่าหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่มักจะครองพื้นที่สื่อมาโดยตลอด

นี่ไม่ใช่แค่เทรนด์ระยะสั้นที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่หุ้นขนาดเล็กในหลายภูมิภาคได้ ‘ชนะตลาด’ มาหลายปีแล้ว และปัจจุบัน กำลังได้แรงหนุนจากปัจจัยเชิงบวกหลายด้าน โดยหนึ่งในแรงขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดคือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย
เมื่อต้นทุนการกู้ยืมอยู่ในระดับสูง บริษัทเล็กๆ จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะเข้าถึงตลาดทุนได้ยากกว่าบริษัทอย่าง Apple หรือ Microsoft แต่เมื่อธนาคารกลางเริ่มลดดอกเบี้ย แรงกดดันด้านเงินทุนก็จะลดลง เปิดทางให้บริษัทเล็กมีโอกาสเติบโตมากขึ้น
นอกจากนี้ หุ้นขนาดเล็กก็กำลังดึงดูดนักลงทุนจากปัจจัยด้าน Valuation เพราะปัจจุบันมีราคาถูกกว่าหุ้นใหญ่มากที่สุดในรอบกว่า 20 ปี อีกทั้งบริษัทเล็กๆ เหล่านี้ยังพึ่งพาตลาดในประเทศมากกว่า ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงจากสงครามการค้าและความผันผวนของค่าเงินที่กำลังกดดันตลาดโลกอยู่ในขณะนี้
ส่งผลอย่างไรต่อนักลงทุน?
หุ้นขนาดเล็กถือเป็นอีกช่องทางในการกระจายการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในขณะที่ดัชนีหลักๆ เริ่มกระจุกตัวอยู่ในหุ้นไม่กี่ตัว (เช่น Magnificent Seven) การลงทุนในหุ้นขนาดเล็กจึงอาจมอบโอกาสและแรงขับเคลื่อนการเติบโตที่แตกต่างออกไป
อย่าลืมว่าหุ้นขนาดเล็กไม่ได้จะชนะตลาดเสมอไป แต่การที่คุณมีการกระจายการลงทุนในหลากหลายบริษัทและภูมิภาค จะเปิดทางให้พอร์ตของคุณมีหลายเส้นทางในการคว้าโอกาสเติบโตในระยะยาว ท่ามกลางเงื่อนไขเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
(หากคุณกำลังมองหาพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดี รวมถึงหุ้นขนาดเล็ก ลองดูพอร์ต General Investing ของเรา ส่วน Flexible Portfolio จะเปิดโอกาสให้คุณสามารถกำหนดสัดส่วนการลงทุนต่างๆ ได้เอง)
📰 ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ: เงินเฟ้อทรงตัวและนั่นเป็นข่าวดีสำหรับการลดดอกเบี้ย
ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐเดือน ก.ค. ออกมาตรงตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับขึ้น 2.7% ต่อปี ทำให้โอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. นี้ ยังคงสูงอยู่ โดยปัจจุบัน ตลาดให้น้ำหนักถึง 94% ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยในเดือนหน้า

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ สิ่งที่ ‘ไม่’ เกิดขึ้น นั่นก็คือการที่เงินเฟ้อยังไม่พุ่งขึ้นมากนักจากมาตรการภาษีนำเข้า (อย่างน้อยก็ในตอนนี้) ซึ่งจะช่วยให้ Fed มีเวลาหันไปพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานเดือน ก.ค. ที่เริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวชัดเจน และเมื่อเงินเฟ้อทรงตัว และตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัวลง ก็กลายเป็นสถานการณ์ที่เอื้อต่อการลดดอกเบี้ย
โดยทั่วไปแล้ว อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงนั้นเป็นผลดีต่อภาคเอกชน เพราะจะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมและกระตุ้นการเติบโต โดยปัจจุบันตลาดตราสารหนี้ก็เริ่มสะท้อนเรื่องนี้แล้ว โดย Yield ของพันธบัตรระยะสั้นเริ่มปรับตัวลงตามคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ ขณะที่ Yield ของตราสารหนี้ระยะยาวยังคงสูงอยู่ สะท้อนว่านักลงทุนยังคงมองว่าเศรษฐกิจข้างหน้าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
ภาพใหญ่กว่านั้นคือ ตลาดมักเคลื่อนไหวตาม ‘ความคาดหวัง’ มากพอๆ กับ ‘ข้อเท็จจริง’ แม้ว่าสุดท้ายแล้ว Fed อาจยังไม่ลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. นี้ แต่ทิศทางของพวกเขาในการผ่อนคลายนโยบายการเงินก็เริ่มชัดเจนขึ้น ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว แนวโน้มนี้จึงมีความสำคัญกว่าการประชุมครั้งใดครั้งหนึ่ง
เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize
🎓 Simply Finance: Market Cap

Market Capitalisation หรือ Market Cap คือมูลค่าทั้งหมดที่ตลาดหุ้นให้กับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง โดยคำนวณจากจำนวนหุ้นทั้งหมดคูณกับราคาหุ้นปัจจุบัน ลองนึกภาพง่ายๆ ก็จะเหมือนป้ายราคาของทั้งบริษัท ซึ่งโดยปกติแล้วบริษัทต่างๆ มักจะถูกจัดกลุ่มตามขนาดของ Market Cap เช่น หุ้นขนาดเล็ก (ต่ำกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ฯ) หุ้นขนาดกลาง (2,000-10,000 ล้านดอลลาร์ฯ) หุ้นขนาดใหญ่ (มากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ฯ)