Weekly Buzz: เมื่อราคาทองคำพุ่ง 25% แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้? ✨

ราคาทองคำพุ่งขึ้น 25% ตั้งแต่เดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว โดยปัจจุบันเคลื่อนไหวอยู่ราวๆ 3,350 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งหากคุณติดตามข่าวสารอยู่เป็นประจำก็คงไม่แปลกใจนัก เพราะเมื่อความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ราคาทองคำก็มักจะเปล่งประกายอย่างเห็นได้ชัด แล้วประวัติศาสตร์เคยบอกอะไรเราบ้างเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้?
อะไรคือแรงขับเคลื่อนราคาทองคำในตอนนี้?
ปัจจัยแรก คือ Fed ได้หยุดลดดอกเบี้ยมาตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2024 ซึ่งหากมองย้อนหลัง ช่วงที่ Fed หยุดลดดอกเบี้ยมักสอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งของราคาทองคำ เช่น ในปี 2002 ในช่วงวิกฤติการเงินโลกปี 2008 และอีกครั้งในช่วงต้นปี 2020 ก่อนการระบาดของ COVID-19 ซึ่งทั้งหมดเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญความไม่แน่นอนในระดับสูง

การที่ Fed หยุดลดดอกเบี้ย มักเป็นสัญญาณว่าบรรดาผู้กำหนดนโยบายกำลังไม่แน่ใจต่อทิศทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า และเมื่อรวมเข้ากับความเสี่ยงระดับมหภาคในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า ปัญหาเงินเฟ้อสูงที่ยังยืดเยื้อ หรือความกังวลเรื่องค่าเงินดอลลาร์ฯ ทั้งหมดนี้ก็กลายเป็นแรงขับเคลื่อน Demand ของทองคำอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ช่วยหนุนราคาทองคำ ได้แก่ การที่ธนาคารกลางหลายประเทศยังคงซื้อทองคำในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งช่วยสร้างฐานความต้องการที่มั่นคง ขณะที่ เม็ดเงินจากนักลงทุนเริ่มไหลกลับเข้า ETF ทองคำ (หลังจากไหลออกมาเป็นเวลาหลายปี) ทำให้ Supply ทองคำในตลาดเริ่มตึงตัวมากขึ้น ท่ามกลางกระแสข่าวที่ยังคงสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน ความต้องการสินทรัพย์ Safe-haven อย่างทองคำจึงยังไม่น่าจะลดลงในเร็วๆ นี้
ส่งผลอย่างไรต่อนักลงทุน?
การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในปีนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การกระจายความเสี่ยงไม่ใช่แค่ทฤษฎีที่พูดกันในห้องเรียนเท่านั้น และการลงทุนที่ดีก็ไม่ใช่แค่การทุ่มเงินไปกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง แต่คือการบริหาร Asset Allocation อย่างมีกลยุทธ์ เพราะเมื่อสินทรัพย์บางส่วนในพอร์ตเริ่มมีปัญหา ก็ยังจะมีสินทรัพย์อีกส่วนที่ช่วยประคับประคองพอร์ตไว้ได้
ทั้งนี้ สินทรัพย์ Safe-haven อย่างทองคำ ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่จะช่วยให้พอร์ตของคุณรับมือกับหลากหลายสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น เพราะความไม่แน่นอนในตลาด ไม่ว่าจะมาจากสงครามการค้า ดอกเบี้ย หรือความผันผวนของค่าเงิน ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนระยะยาวทั้งสิ้น ซึ่งพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับสิ่งเหล่านี้ โดยไม่จำเป็นต้องคอยปรับพอร์ตทุกครั้งที่มีประเด็นใหม่ๆ
(อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทของทองคำที่ช่วยกระจายความเสี่ยงและช่วยสร้างผลตอบแทนในพอร์ตได้ใน ผลการดำเนินงาน H1/2025 ของ StashAway)
💡 Investors’ Corner: เมื่อรายย่อยงัดข้อกับ Wall Street
นักลงทุนรายย่อยมักถูกมองว่าเป็นผู้ที่มาทีหลังเสมอในช่วงตลาดกระทิง พวกเขามักจะเข้าซื้อเมื่อราคาปรับตัวขึ้นไปแล้ว ในขณะที่กลุ่ม ‘Smart Money’ หรือนักลงทุนสถาบันเริ่มทยอยขายทำกำไร อย่างไรก็ตาม ปี 2025 กำลังพิสูจน์ว่าเรื่องนี้ไม่จริงเสมอไป
ทุกวันนี้ นักลงทุนรายย่อยกำลังเติมเงินเข้าสู่ตลาดเฉลี่ยวันละ 1,300 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้นถึง 32% จากปีที่แล้ว นอกจากนี้ ในช่วงที่ตลาดผันผวนหนักเมื่อเดือน เม.ย. ขณะที่นักลงทุนสถาบันเทขายหุ้น นักลงทุนรายย่อยกลับ ‘ซื้อสวน’ ด้วยเม็ดเงิน 8,800 ล้านดอลลาร์ฯ ภายในเวลาเพียง 5 วันทำการ ซึ่งล่าสุด ผลสำรวจของ Morgan Stanley ยังพบว่า 62% ของนักลงทุนรายย่อยมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นสหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บข้อมูลชุดนี้

ด้วยการเข้าถึงแพลตฟอร์มการลงทุนที่ง่ายขึ้น และข้อมูลแบบ Real-time นักลงทุนรายย่อยจึงไม่ใช่แค่ผู้ตามอีกต่อไป แต่กลายเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาด ซึ่งภาครัฐเองก็เริ่มตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ โดยมีการร่างกฎหมาย Invest America Act ที่เสนอให้มอบบัญชีลงทุนมูลค่า 1,000 ดอลลาร์ฯ แก่เด็กอเมริกันทุกคนตั้งแต่แรกเกิด เป็นสัญญาณว่ารัฐบาลเริ่มมองการมีส่วนร่วมของนักลงทุนรายย่อยว่าเป็นพลังทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
เนื่องจากความสำเร็จในการลงทุน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีข้อมูลวงใน หรือการจับจังหวะตลาดได้อย่างแม่นยำเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้จาก Stay Invested อย่างต่อเนื่องในพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีในระยะยาว และเมื่อมีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากหันมาลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ก็จะยิ่งช่วยเสริมสร้างรากฐานของตลาดให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อตัวนักลงทุนเองและตลาดโดยรวม
เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize
🎓 Simply Finance: สินทรัพย์ Safe-haven

ในช่วงที่ตลาดผันผวน นักลงทุนก็มักจะหันไปหาสินทรัพย์ Safe-haven หรือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มักจะรักษามูลค่าไว้ได้ หรือแม้แต่ปรับตัวขึ้นในช่วงที่ตลาดเผชิญกับความไม่แน่นอน โดยตัวอย่างของสินทรัพย์ปลอดภัยแบบดั้งเดิม ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ทองคำ หรือบางสกุลเงิน เช่น ดอลลาร์สหรัฐ หรือเยนของญี่ปุ่น