Weekly Buzz: ‘สหรัฐ-จีน’ หยุดพักสงครามการค้า (อีกรอบ!)

31 October 2025

แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ

ผู้แทนการค้าของสหรัฐและจีนได้บรรลุข้อตกลงระหว่างกันในการประชุมสุดยอด ASEAN ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะขยายระยะเวลาพักการเก็บภาษีนำเข้าที่เดิมจะสิ้นสุดในวันนี้ (1 พ.ย.) ซึ่งข้อตกลงใหม่นี้ยังช่วยขจัดความเสี่ยงที่สหรัฐจะเก็บภาษีนำเข้า 100% จากจีนด้วย

ข้อตกลงนี้มีอะไรบ้าง?

จีนตกลงที่จะเลื่อนมาตรการจำกัดการส่งออกแร่หายากออกไปอีก 1 ปี และกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐอีกครั้ง หลังจากระงับการนำเข้าไปตั้งแต่เดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นการวางกรอบความร่วมมือทางการค้าไว้ล่วงหน้า ก่อนการพบกันของประธานาธิบดี Trump และประธานาธิบดี Xi ที่ประเทศเกาหลีใต้

ท่าทีที่อ่อนลงนี้เกิดขึ้นหลังจากความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นนานหลายสัปดาห์ โดยก่อนหน้านี้ Trump ขู่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 100% เพื่อตอบโต้รัฐบาลจีนที่เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบชิปนำเข้าของ Nvidia ขึ้นค่าธรรมเนียมเรือสินค้าสหรัฐ และจำกัดการส่งออกแร่หายาก ซึ่งการผ่อนปรนในประเด็นนี้ถือว่าสำคัญ เพราะจีนควบคุมการขุดแร่หายากทั่วโลกกว่า 70% และการแปรรูปอีกกว่า 90% ซึ่งแร่เหล่านี้ถือเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ นับตั้งแต่โทรศัพท์มือถือไปจนถึงกังหันลม 

ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ จีนยังได้ลงนามในข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ฉบับปรับปรุงกับประเทศสมาชิก ASEAN เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับกลุ่มประเทศที่มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 771,000 ล้านดอลลาร์ฯ ต่อปี ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์หลักของรัฐบาลจีนในการสร้างเครือข่ายการค้าใหม่ๆ เพื่อลดแรงกดดันจากสหรัฐ

ส่งผลอย่างไรต่อนักลงทุน?

แม้ความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกจะคลี่คลายลงบ้าง แต่ความขัดแย้งหลักก็ยังคงอยู่ โดยสหรัฐต้องการให้จีนลดการอุดหนุนภาคอุตสาหกรรม ขณะที่จีนก็ต้องการเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงของสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีฝ่ายใดยอมถอย

แม้เราจะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนจะเปลี่ยนแปลงอีกเมื่อใด แต่สิ่งที่นักลงทุนสามารถทำได้คือ เตรียมรับมือความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งสำหรับนักลงทุนระยะยาว พอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจและภูมิภาค มักรับมือผลกระทบจากเหตุการณ์เหล่านี้ได้ดีกว่าพอร์ตที่กระจุกตัวอยู่ในตลาดใดตลาดหนึ่ง

(หากคุณกำลังมองหาพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีทั่วโลก ลองดูพอร์ต General Investing ของเรา)

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ: เงินเฟ้อสหรัฐขยับขึ้นเล็กน้อย แต่แนวโน้มลดดอกเบี้ยยังคงอยู่

อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐขยับขึ้นมาอยู่ที่ 3% ในเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้นจาก 2.9% ในเดือน ส.ค. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 3.1% ตลาดจึงมองว่าเป็น ‘ข่าวดี’ และทำให้ Fed สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) ในเดือน ก.ย. ส่วนใหญ่เกิดจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น 4.1% ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงานที่มีความผันผวน เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% 

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากมาตรการภาษีนำเข้าที่อาจส่งผลต่อตัวเลขเงินเฟ้อในอนาคต แม้บริษัทอเมริกันส่วนใหญ่ยังสามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไว้เองได้โดยไม่ต้องผลักภาระให้ผู้บริโภค แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า ผลกระทบจากภาษีนำเข้าอาจยังไม่ส่งผลอย่างเต็มที่ต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ

ปัจจุบัน Fed กำลังเดินอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างการชะลอตัวเลขเงินเฟ้อกับการสนับสนุนการจ้างงาน แม้อัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่เหนือเป้าหมาย 2% แต่ Fed มองว่า ตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนแรงลงเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่กว่า และตลาดก็ให้น้ำหนักไปแล้วว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือน ธ.ค. นี้

Simply Finance: เงินเฟ้อพื้นฐาน vs เงินเฟ้อทั่วไป

เงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) คืออัตราเงินเฟ้อที่วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผู้บริโภคใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) จะไม่รวมสินค้าหมวดอาหารและพลังงาน เพราะราคาผันผวนรุนแรงกว่าในแต่ละเดือน ดังนั้น ธนาคารกลางต่างๆ จึงมักให้ความสำคัญกับเงินเฟ้อพื้นฐาน เนื่องจากสะท้อนได้ดีกว่าว่าราคาสินค้ากำลังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือไม่?


แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ