Weekly Buzz: 💰 สำรวจผลประกอบการบริษัทสหรัฐ

30 August 2024

แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ

ปัจจุบัน นักลงทุนจำนวนมากมีความกังวลมากขึ้นเรื่องความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะ Recession (เราจะเจาะลึกใน CIO Insights ฉบับต่อไป) และอาจรู้สึกไม่มั่นใจหลังเห็นราคาหุ้นสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ 

ช่วงเวลานี้จึงเป็นโอกาสเหมาะสมในการสำรวจผลประกอบการล่าสุดของบริษัทต่างๆ อย่างละเอียด เพราะจนถึงขณะนี้ บริษัทในดัชนี S&P 500 ของสหรัฐกว่า 90% ได้ประกาศผลการดำเนินงานของ Q2/2024 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และผลที่ออกมาก็ได้แสดงให้เห็นภาพที่น่าสนใจ

ภาพรวมผลประกอบการ

ในมุมหนึ่ง 59% ของบริษัทในดัชนี S&P 500 มีรายได้สูงกว่าคาดการณ์ แต่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 64% ส่วนอีกมุมหนึ่ง บริษัทราว 78% มีกำไรต่อหุ้น (EPS) สูงกว่าคาดการณ์และค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 74%

เมื่อบริษัทต่างๆ มีผลกำไรดีกว่ารายได้ นั่นหมายความว่า Margin กำไรกำลังปรับตัวดีขึ้น โดยข้อมูล ‘Blended’ (รวมผลประกอบการจริงกับตัวเลขคาดการณ์) ของดัชนี S&P 500 จาก FactSet แสดงให้เห็นว่า Margin กำไรใน Q2/2024 อยู่ที่ 12.2% ซึ่งสูงกว่าไตรมาสที่แล้วและช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในแง่การเติบโตของกำไร การคำนวณของ FactSet บ่งชี้ว่า EPS ใน Q2/2024 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 10.8% ซึ่งถือเป็นอัตราการขยายตัวของกำไรที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่สิ้นปี 2021 สำหรับบริษัทในดัชนี S&P 500 

การฟื้นตัวในวงกว้าง

การประกาศผลประกอบการครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นการฟื้นตัวของบริษัทที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระแสเทคโนโลยี AI โดยก่อนหน้านี้ หุ้นกลุ่ม Magnificent Seven หรือบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ 7 แห่งของสหรัฐ กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตของกำไรในดัชนี S&P 500 แต่หากไม่นับรวม 7 บริษัทดังกล่าว กำไรเทียบกับปีก่อน (YoY) ของบริษัทที่เหลือได้ปรับตัวลดลงตลอด 5 ไตรมาสที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในตอนนี้เริ่มดูดีขึ้น โดยกำไรใน Q2 ของบริษัท 493 แห่งที่เหลือคาดว่าจะเติบโตขึ้น 7.4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในขณะเดียวกัน กำไรของกลุ่ม Magnificent Seven มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น 35% ซึ่งยังค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ก็แสดงให้เห็นการชะลอตัวลงจากปีที่แล้ว

Key Takeaway

รายงานผลประกอบการของภาคเอกชนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพรวมทางเศรษฐกิจเท่านั้น ซึ่งเราก็ควรที่จะติดตามข้อมูลเหล่านี้ แต่อย่าให้ข้อมูลเหล่านี้เป็นปัจจัยเดียวที่จะกำหนดการตัดสินใจลงทุนของคุณ อย่างไรก็ดี Margin กำไรที่ดีขึ้นและการฟื้นตัวของกำไรในวงกว้าง แสดงให้เห็นว่าตลาดเติบโตอย่างสมดุลมากขึ้น และไม่ได้พึ่งพาบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่แห่งมากจนเกินไป

เหตุการณ์นี้ยิ่งย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการกระจายการลงทุน มากกว่าการพึ่งพาบริษัทชั้นนำเพียงไม่กี่ราย ซึ่งการกระจายการลงทุนที่ดี คือ หลักการสำคัญในการบริหารพอร์ต General Investing ของเรา 

📰 ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ: Fed ยืนยันการลดดอกเบี้ย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Jerome Powell ประธาน Fed ประกาศในงานประชุมประจำปีที่เมือง Jackson Hole ว่า ‘ถึงเวลาแล้ว’ ในการลดอัตราดอกเบี้ย โดยตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงมาใกล้เป้าหมาย 2% ทำให้ Fed เปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับการป้องกันไม่ให้ตลาดแรงงานถดถอย

ขณะนี้ Fed มีเป้าหมาย 2 ประการ คือ รักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าและบริการ และเพิ่มการจ้างงานให้ได้มากที่สุด ซึ่งหากพวกเขาตัดสินใจลดดอกเบี้ยช้าเกินไป ต้นทุนการกู้ยืมที่อยู่ในระดับสูงก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดแรงงานมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี ด้วยคำแถลงล่าสุดของ Powell ทำให้เราน่าจะได้เห็นการประกาศลดดอกเบี้ยในการประชุม Fed ครั้งต่อไปในเดือน ก.ย. ที่จะถึงนี้ ซึ่งนั่นก็คือสถานการณ์ที่ Trader ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดขึ้น

เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize

📖 รอบรู้เรื่องลงทุน: หุ้น Magnificent Seven

คำว่า ‘Magnificent Seven’ ซึ่งอ้างอิงมาจากชื่อภาพยนตร์ตะวันตกคลาสสิกในยุค 1960 เป็นคำที่บรรดานักลงทุนใน Wall Street ใช้เรียกบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ 7 แห่งของสหรัฐ ได้แก่ Apple, Microsoft, Nvidia, Alphabet, Amazon, Meta และ Tesla เนื่องจากขนาด Market Cap ที่มหาศาลของพวกเขา ทำให้บริษัทเหล่านี้มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อแนวโน้มของตลาด

อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดตามยุคสมัย ซึ่งหากเราย้อนกลับไปในปี 2013 จะพบว่าบริษัทขนาดใหญ่สุดในขณะนั้นแตกต่างจากปัจจุบันมาก โดย ExxonMobil บริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจน้ำมัน คือ บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกในเวลานั้น แต่ปัจจุบัน Apple คือ บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกกว่า 3.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเกือบ 2 เท่าของกลุ่มธุรกิจพลังงานทั้งหมดในดัชนี S&P 500


แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ