Weekly Buzz: ⏰ เตรียมตัวอย่างไร? เมื่อ Fed จะลดดอกเบี้ยในปีหน้า
![](/_next/image?url=https%3A%2F%2Fcms-assets.stashaway.com%2FWeekly_Buzz_2023_December_22_Banner1_13bceece09.png&w=1920&q=75)
ประเด็นที่ตลาดกำลังให้ความสนใจมากที่สุดในตอนนี้ คือ การที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีหน้า หลัง Fed ส่งสัญญาณว่ามีความเป็นไปได้ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2024 โดยท่าที Dovish ของ Jerome Powell ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่า Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากกว่านั้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามนี่คือเรื่องใหญ่ของโลกการลงทุน เพราะดอกเบี้ยที่กำลังจะปรับตัวลดลงมีแนวโน้มที่จะทำให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะหุ้น Growth ที่ราคาขึ้นอยู่กับผลกำไรในอนาคต
![](/_next/image?url=https%3A%2F%2Fcms-assets.stashaway.com%2FWeekly_Buzz_2023_December_22_Chart1_b070f504e0.png&w=1920&q=75)
ตลาดตอบรับข่าวดังกล่าวอย่างรวดเร็ว โดยเมื่อวันพุธ (13 ธ.ค.) ตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในวันแถลงอัตราดอกเบี้ยของ Fed นับตั้งแต่วิกฤติการเงินโลกปี 2008 และอาจปรับตัวขึ้นได้อีก เห็นได้จากครั้งล่าสุดที่ Fed เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยลงในปี 2019 ทำให้ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นราว 30% ส่วนหุ้นกู้คุณภาพดีให้ผลตอบแทนอย่างแข็งแกร่งที่ 9% และจากข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 1965 หากเศรษฐกิจสามารถ Soft Landing ได้ (แม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก) ดัชนี S&P 500 จะปรับตัวขึ้นได้เฉลี่ย 15% ภายใน 1 ปีนับตั้งแต่ Fed ลดดอกเบี้ยลงครั้งแรก ดังนั้นคำถามสำคัญ คือ แนวโน้มเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างไรกับพอร์ตของคุณ?
3 Takeaways สำหรับนักลงทุน
1. พิจารณาลงทุนในตราสารหนี้ แทนการถือเงินสด เพราะการถือเงินสดมากเกินไปอาจทำให้โอกาสในการสร้างผลตอบแทนของคุณลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเชื่อว่าธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยลงมากกว่าที่คาด ดังนั้นคุณอาจพิจารณาคว้าโอกาสที่ Yield ยังอยู่ในระดับสูงนี้ เพราะเงินเฟ้อที่ลดความร้อนแรงลงและการที่ Fed ได้หยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้ Yield ของตราสารหนี้อาจถึงระดับสูงสุดแล้ว ซึ่งหมายความว่าในปี 2024 Yield มีโอกาสปรับตัวลดลง ซึ่งจะทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน โดยคุณอาจเลือกลงทุนในพอร์ตต้นแบบ Passive Income ที่อยู่ภายใต้ Flexible Portfolio ของเรา ซึ่งลงทุน 99% ในตราสารหนี้ทั่วโลก
2. พิจารณาสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นสำหรับการลงทุนในระยะยาว เช่น ตลาดเกิดใหม่ (EM) เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐมักจะอ่อนค่าลงเมื่อดอกเบี้ยปรับตัวลดลง ทำให้ Yield ของพันธบัตรสหรัฐอาจลดลงเช่นกัน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจและหุ้นในตลาด EM โดยอินเดียถือว่าเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นจากแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง ส่วนในสหรัฐ สินทรัพย์ที่ยัง Laggard หรือไม่ได้ปรับตัวขึ้นมาก เช่น หุ้นขนาดเล็ก, หุ้น Value, กอง REITs, หุ้นเทคโนโลยีขนาดรอง และตราสารหนี้ที่ให้ Yield ระดับสูง อาจทำผลงานได้ดีในปี 2024 บนสมมติฐานว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจไม่เข้าสู่ Recession
3. อย่าประเมินการปรับตัวขึ้นของตลาดต่ำเกินไป เพราะด้วยอัตราดอกเบี้ยระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนได้เก็บเงินเกือบ 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไว้ใน Money Market และสินทรัพย์ระยะสั้น ซึ่งหากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลงในปี 2024 Yield เหล่านี้ก็จะปรับตัวลดลงตาม และอาจทำให้เงินจำนวนมหาศาลนี้ไหลเข้าตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของตลาด
เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize
Outlook ของเราในปี 2024
![](/_next/image?url=https%3A%2F%2Fcms-assets.stashaway.com%2FWeekly_Buzz_2023_December_22_Banner2_7eba6cb56a.png&w=1920&q=75)
ปัจจุบัน ตลาดได้เปลี่ยนความคาดหวังจาก ‘Recession’ มาเป็น ‘Soft Landing’ โดยคุณ Stephanie Leung, Group CIO ของเราได้แชร์มุมมองเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจ เงินเฟ้อและผลตอบแทนต่างๆ ในปี 2024 โดยรอติดตามได้ใน CIO Insights สัปดาห์หน้า
สำหรับ Weekly Buzz จะกลับมาอีกครั้งในปี 2024 ทีมงานทุกคนที่ StashAway จึงขออวยพรล่วงหน้าให้ทุกท่านมีความสุขในเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้
![](/_next/image?url=https%3A%2F%2Fcms-assets.stashaway.com%2Flarge_202406_USD_Cash_Plus_1500x429_612976a36e.jpg&w=1920&q=75)