Weekly Buzz: Fed ประกาศลดดอกเบี้ยอีกรอบ

12 December 2025

แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

เมื่อวันพฤหัสบดี (11 ธ.ค.) Fed ได้ประกาศลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้ โดยปรับดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 3.5- 3.75% ซึ่งนักลงทุนได้คาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว เพราะตลาดแรงงานที่อ่อนแอและต้นทุนการกู้ยืมที่ยังคงอยู่ในระดับสูงสำหรับเศรษฐกิจที่ดูเหมือนกำลังชะลอตัว แต่สิ่งที่ตลาดไม่ได้คาดคิดคือ ความเห็นที่แตกแยกกันอย่างหนักของสมาชิก Fed

จะเกิดอะไรขึ้นหลังการลดดอกเบี้ย?

มีเจ้าหน้าที่ Fed ถึง 3 รายที่มีความเห็นขัดแย้ง โดยบางรายต้องการให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ ในขณะที่อีกรายสนับสนุนให้ลดดอกเบี้ยมากกว่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะเห็นความขัดแย้งระดับนี้ภายในธนาคารกลาง สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ Fed ต้องเผชิญในขณะนี้ เพราะตลาดแรงงานกำลังอ่อนแอ ในขณะที่ปัญหาเงินเฟ้อสูงก็ยังคงยืดเยื้อ

Jerome Powell ประธาน Fed ยอมรับว่าเป็นการตัดสินใจที่ก้ำกึ่งมาก เพราะอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ที่ 2.8% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของ Fed อยู่พอสมควร สาเหตุหลักมาจากมาตรการภาษีนำเข้า ขณะเดียวกัน อัตราการว่างงานได้ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 4.4% และ Powell ยังระบุด้วยว่า ตัวเลขการจ้างงานล่าสุดอาจสูงกว่าความเป็นจริง

อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป? ปัจจุบันสมาชิก Fed กำลังถกเถียงกันว่าอัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลาง (อัตราดอกเบี้ยที่ไม่กระตุ้นและไม่ฉุดรั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจ) ต้องอยู่ที่ระดับใด โดย Powell เชื่อว่าพวกเขาเข้าใกล้จุดนั้นแล้ว ทำให้การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคตอาจทำได้ยากขึ้น โดยประมาณการล่าสุด (Dot Plot) ของ Fed บ่งชี้ว่า ในปี 2026 อาจมีการลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งเท่านั้น

ส่งผลอย่างไรต่อนักลงทุน?

Fed ได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภค แต่ตอนนี้ Fed ต้องการรอดูว่าเศรษฐกิจจะตอบสนองอย่างไรก่อนที่จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม นอกจากนี้ Powell ก็เตรียมที่จะลงจากตำแหน่งประธาน Fed ในเดือน พ.ค. ปีหน้า ซึ่งประธานาธิบดี Trump ก็กำลังมองหาผู้สืบทอดที่มีแนวโน้มสนับสนุนนโยบายแบบผ่อนคลาย (Dovish) มากกว่า ดังนั้น การลดดอกเบี้ยในอนาคตก็จะขึ้นอยู่กับทั้งข้อมูลทางเศรษฐกิจและผู้ที่จะมารับตำแหน่งประธาน Fed คนต่อไป

Investor’s Corner: จะเป็นอย่างไร...ถ้าคุณรู้ข่าวล่วงหน้าก่อนใคร?

ถ้าคุณรู้ข่าวของวันพรุ่งนี้ได้ตั้งแต่วันนี้ คุณคงคิดว่าคุณน่าจะทำเงินได้มหาศาล อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อกัน บริษัทการลงทุน Elm Partners จึงทำการทดสอบเรื่องนี้ โดยให้นักศึกษาการเงิน 118 คน ได้ดูหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal ก่อนวางแผงถึง 36 ชั่วโมง เมื่อกุมความได้เปรียบในการรู้อนาคตแล้ว นักศึกษาก็เริ่มทำการซื้อขายหุ้นและตราสารหนี้ด้วยเงินจริงๆ

ผลลัพธ์เป็นอย่างไร? นักศึกษากว่าครึ่งหนึ่งขาดทุน และ 1 ใน 6 ถึงกับขาดทุนจนหมดตัว โดยกำไรเฉลี่ยที่ทำได้คือ 1.62 ดอลลาร์สหรัฐ จากเงินต้น 50 ดอลลาร์ฯ แม้จะรู้ข่าวก่อนคนอื่น แต่ความแม่นยำในการคาดการณ์ตลาดกลับดีกว่าการโยนหัวก้อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ 51.5%

ความแม่นยำไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง แต่มันคือขนาดในการวาง Position เพราะความมั่นใจเกินเหตุที่รู้ข่าวก่อนคนอื่น นักศึกษาหลายคนจึงใช้ Leverage สูงถึง 50 เท่า และการใช้ Leverage ระดับนี้ไม่ว่าข่าวนั้นจะชัดเจนหรือคลุมเครือ ทำให้เมื่อพลาดเพียงครั้งเดียว พอร์ตการลงทุนก็เสียหายอย่างหนัก

ในทางกลับกัน Trader มือเก๋า 5 คนที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ด้วยกลับทำกำไรได้ทุกคน ความแตกต่างไม่ได้อยู่ที่การคาดการณ์ที่แม่นยำกว่า แต่พวกเขาแค่ไม่ปล่อยให้ข่าวพาดหัวทุกข่าวมาบงการการตัดสินใจลงทุนของพวกเขา

Key Takeaway สำหรับเรื่องนี้คือ ข้อมูลนั้นสำคัญ แต่วินัยสำคัญยิ่งกว่า เพราะตลาดมักให้รางวัลกับความอดทนและกระบวนการ ไม่ใช่การคาดการณ์ ดังนั้น คุณไม่จำเป็นต้องหยั่งรู้อนาคตเพื่อสร้างความมั่งคั่ง แต่พฤติกรรมที่จะช่วยสร้างความมั่งคั่งนั้นชัดเจนอยู่แล้ว นั่นก็คือ การตัดเสียงรบกวนจากข่าวรายวัน การสร้างพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดี และการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

(พอร์ต General Investing ของเรา คือ ช่องทางง่ายๆ ในการเริ่มกระจายการลงทุนและเน้นการเติบโตระยะยาว)

เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize

Simply Finance: Leverage

Leverage คือการนำเงินกู้ยืมมาใช้เพื่อเพิ่มขนาดการลงทุนให้ใหญ่ขึ้นกว่าเงินทุนที่มีอยู่จริง เช่น การ Trade แบบใช้ Margin โบรกเกอร์อาจให้นักลงทุนยืมเงิน ทำให้นักลงทุนที่มีเงินต้นเพียง 100 ดอลลาร์ฯ สามารถซื้อขายสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงถึง 1,000 ดอลลาร์ฯ ได้ กลไกนี้จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนแบบทวีคูณ เช่น หากราคาสินทรัพย์ขยับขึ้นเพียง 5% นักลงทุนจะได้กำไรจริงถึง 50% (เมื่อเทียบกับเงินต้น) แต่ในทางกลับกัน มันก็จะเพิ่มการขาดทุนแบบทวีคูณเช่นกัน และหากราคาร่วงลงไปมากพอ นักลงทุนก็อาจสูญเสียเงินต้นทั้งหมด และอาจเหลือหนี้สินที่ต้องชดใช้จากการกู้ยืมอีกด้วย


แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email