Weekly Buzz: สัปดาห์ที่แล้วกลัว สัปดาห์นี้กลับมาซื้อ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
แม้ว่า Nvidia จะประกาศผลประกอบการเหนือความคาดหมาย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq กลับปรับตัวลดลง ท่ามกลางกระแสข่าวเรื่อง Valuation หุ้นกลุ่ม AI และความหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยที่เริ่มเลือนลาง แต่ทว่าพอถึงวันจันทร์ (24 พ.ย.) S&P 500 ก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ ขณะที่ Nasdaq ก็ทำสถิติบวกแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. ที่ผ่านมา
ทำไมตลาดดีดตัวกลับ?

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว John Williams ประธาน Fed สาขานิวยอร์ก ส่งสัญญาณว่ายังเปิดกว้างสำหรับการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. นี้ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้นักลงทุนเพิ่มโอกาสในการลดดอกเบี้ยจากเดิม 30% พุ่งขึ้นมาอยู่ที่กว่า 75% ภายในชั่วข้ามคืน นอกจากนี้ การเปิดตัว ‘Gemini’ โมเดล AI รุ่นอัปเกรดของ Alphabet ยังช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนให้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้แรงเทขายเบาลงจนตลาดเริ่มฟื้นตัว เนื่องจากความคาดหวังของนักลงทุนเริ่มเปลี่ยนไป
นี่คือกลไกการทำงานของตลาด นักลงทุนไม่ได้เพียงตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่พวกเขากำลังประเมินสถานการณ์ในระยะข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา โดยในตอนแรก เมื่อโอกาสในการลดดอกเบี้ยดูริบหรี่ นักลงทุนก็ปรับพอร์ตเพื่อเตรียมรับมือสภาพทางการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น แต่เมื่อท่าทีของ Fed อ่อนลง พวกเขาก็กลับมาซื้อหุ้นอีกครั้ง
การย่อตัว (Pullback) ถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรตลาด แม้จะทำให้เรารู้สึกอึดอัด แต่สิ่งนี้มักปูทางไปสู่การเติบโตครั้งถัดไปด้วยการดึง Valuation ของหุ้นให้กลับมาสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมการจับจังหวะตลาดถึงเป็นเรื่องยาก เพราะคุณต้องคาดการณ์ให้ถูกถึง 2 รอบ คือ 1) ตอนขายออก และ 2) ตอนกลับเข้ามาซื้อใหม่ ดังนั้น นักลงทุนที่เลือกจะถอยออกมาดูสถานการณ์เพื่อรอความชัดเจน จึงมีความเสี่ยงที่จะพลาดช่วงที่ตลาดฟื้นตัวไปอย่างน่าเสียดาย
Key Takeaway
ความผันผวนมักจะให้รางวัลแก่ผู้ที่ Stay Invested จนผ่านพ้นมันไปได้ แม้ความรู้สึกอึดอัดตอนที่ตลาดปรับตัวลงจะเป็นเรื่องจริง แต่ต้นทุนของการเสียโอกาสจากการถอยออกมาดูเฉยๆ นั้นก็เป็นเรื่องจริงเช่นเดียวกัน ดังนั้น พอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจ และภูมิภาค (เช่น พอร์ต General Investing ของเรา 😎) จะช่วยให้คุณสามารถลงทุนต่อไปได้แม้ในช่วงที่ตลาดมีข่าวร้าย และเมื่อนำมาใช้ควบคู่กับวิธี DCA หรือการทยอยลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่ากันอย่างสม่ำเสมอ คุณก็ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจอย่างตื่นตระหนกในช่วงที่ตลาดผันผวนระยะสั้น และสามารถยึดมั่นแผนการลงทุนในระยะยาวต่อไปได้อย่างสบายใจ
(อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Valuation ของตลาดหุ้นในปัจจุบันได้ใน CIO Update: AI อยู่ในภาวะฟองสบู่หรือยัง?)
ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ: มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นจำนวนมหาศาล

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ญี่ปุ่นได้เปิดเผยร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 21 ล้านล้านเยน (ราว 135,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งถือเป็นมาตรการชุดใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ช่วง COVID-19 และไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดเท่าใดนัก เนื่องจากนายกรัฐมนตรี Takaichi ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง เคยให้สัญญาไว้ว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการนี้ก็ถือว่ามาได้ถูกจังหวะพอดี เนื่องจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาสที่ผ่านมาหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1.5 ปี
นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้ ประกอบไปด้วยการแจกเงินสดให้กับภาคครัวเรือน การลดภาษีน้ำมัน การเยียวยาผู้มีรายได้น้อย และการลงทุนแบบเจาะจงในกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญๆ เช่น เซมิคอนดักเตอร์และ AI โดยรัฐบาลคาดว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้ประมาณ 1.4% ต่อปี

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือ ‘หนี้ที่เพิ่มขึ้น’ โดยปัจจุบันสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของญี่ปุ่นยังคงสูงเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่ราว 240% และเมื่อตลาด Priced In แนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและการเพิ่มการใช้จ่ายของภาครัฐ Yield ของพันธบัตรญี่ปุ่น ก็พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ซึ่ง Yield ที่พุ่งสูงขึ้นนี้ได้ดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อพันธบัตรญี่ปุ่นในอัตราที่รวดเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์
มาตรการกระตุ้นครั้งนี้ถือเป็นความพยายามที่จะฟื้นฟู Demand และสนับสนุนอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นที่อาจเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตในทศวรรษหน้า แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาว คำถามสำคัญคือ แรงสนับสนุนทางการคลังครั้งนี้จะสามารถส่งเสริมแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนได้หรือไม่?
(หากคุณอยากเจาะลึกมุมมองเศรษฐกิจญี่ปุ่น รอติดตาม CIO Insights ฉบับเดือน ธ.ค. ได้เลย!)
Simply Finance: สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP
สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP คือตัวเลขที่เปรียบเทียบหนี้สินทั้งหมดกับมูลค่าผลผลิตรวมที่ประเทศนั้นๆ ทำได้ในหนึ่งปี อธิบายง่ายๆ ก็เหมือนกับหนี้สินส่วนตัวเทียบกับเงินเดือนทั้งปีของคุณ สมมติว่าคุณมีรายได้ปีละ 100,000 บาท แต่มีหนี้สินอยู่ 50,000 บาท สัดส่วนหนี้ของคุณก็จะเท่ากับ 50% ซึ่งในระดับประเทศ หากตัวเลขนี้ยิ่งสูง ก็ยิ่งหมายความว่าประเทศนั้นๆ แบกภาระหนี้ไว้มากเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจของตัวเอง




