Weekly Buzz: กฎใหม่ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้ากลุ่มเทคฯ 🖥️

การเปลี่ยนกฎหมายการค้าของภาครัฐ อาจสร้างแรงกระเพื่อมต่ออุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงพอร์ตการลงทุนของคุณได้ โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศ 2 ประเด็นสำคัญที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้ากลุ่มธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญของสินค้าเทคโนโลยีเกือบทุกชนิดนับตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง
เกิดอะไรขึ้น?
ประเด็นแรกคือ การที่ประธานาธิบดี Donald Trump ขู่ว่าจะเก็บภาษี 100% สำหรับชิปนำเข้า โดยจะยกเว้นเฉพาะชิปที่ถือว่า ‘ผลิตในสหรัฐมากพอ’ เท่านั้น การยกเว้นนี้ทำให้ราคาหุ้นของ TSMC และ Samsung รวมถึงบริษัทอื่นๆ ที่มีฐานการผลิตหลักในสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่บริษัทขนาดเล็กที่พึ่งพาการนำเข้าชิปต้องเผชิญกับแรงกดดัน ขณะที่ หุ้นของ Apple ก็พุ่งขึ้น 3% หลังประกาศลงทุนเพื่อสร้างฐานการผลิตในสหรัฐเพิ่มอีก 100,000 ล้านดอลลาร์ฯ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดูซับซ้อนคือคำว่า ‘ผลิตในสหรัฐ’ หมายถึงอะไรกันแน่? เพราะเมื่อชิปแต่ละชิ้นประกอบด้วยชิ้นส่วนจำนวนมากจากหลากหลายประเทศ และโรงงานในสหรัฐเองก็มีสัดส่วนการผลิตชิปเพียง 12% ของทั้งโลก ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงด้าน Supply อย่างกะทันหัน ก็อาจทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นก่อนที่โรงงานใหม่ในสหรัฐจะเริ่มผลิตสินค้าได้

ประเด็นที่ 2 คือ มาตรการ ‘จ่ายเพื่อเล่นต่อ’ ที่จะทำให้ Nvidia และ AMD สามารถขายชิป AI ให้จีนต่อไปได้ แต่ต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐ ซึ่งตลาดก็ไม่ได้ตกใจมากนัก เพราะยังมีส่วนแบ่งเหลือ 85% และยังคงไม่ชัดเจนว่ามาตรการเรียกเก็บเงินในครั้งนี้ ทำไปเพื่อควบคุมการส่งออกหรือต้องการเพิ่มรายได้เข้ารัฐกันแน่
ส่งผลอย่างไรต่อนักลงทุน?
ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้จะทำให้ธุรกิจเทคโนโลยีกลายเป็นสนามแข่งขันที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเรื่องการเมืองมากขึ้น โดยบริษัทสหรัฐที่มีเงินทุนหนาและมีอิทธิพลทางการเมืองอาจครองความได้เปรียบ ขณะที่ผู้เล่นรายเล็กอาจถูกกีดกันออกไป ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอื่นๆ เช่นกัน
ดังนั้น การกระจายการลงทุนจึงยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากคุณมีสัดส่วนของหุ้นเทคโนโลยีผ่านกองทุนดัชนี คุณก็อาจได้รับประโยชน์จากบริษัทผู้ชนะระดับโลกเหล่านี้อยู่แล้ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดนี้ยังเป็นเครื่องเตือนใจเราว่า ความเสี่ยงด้านนโยบายมีความสำคัญไม่แพ้ความเสี่ยงด้านตลาด โดยพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจและภูมิภาค จะช่วยให้คุณรับมือกับความผันผวนและคว้าโอกาสที่เกิดขึ้นได้ดีกว่า
(กำลังมองหาพอร์ตที่ออกแบบมาเพื่อรับมือความผันผวนในตลาด ลองดูพอร์ต General Investing ของเรา)
📰 ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ: เมื่อความน่าเชื่อถือของสถาบันหลักกลายเป็นความเสี่ยงของตลาด
ตลาดเคยผ่านเหตุการณ์วุ่นวายมานับครั้งไม่ถ้วน แต่มีไม่กี่ครั้งที่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดได้ขนาดนี้ หลัง Trump ตัดสินใจไล่ผู้ว่าการสำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) ออกจากตำแหน่ง เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากรายงานตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอ โดยให้เหตุผลว่ามีความกังวลเรื่องความถูกต้องของข้อมูล
ทั้งนี้ ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐเดือน ก.ค. ออกมาน่าผิดหวัง โดยมีการจ้างงานเพิ่มเพียง 73,000 ตำแหน่ง เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ 115,000 ตำแหน่ง และยังมีการปรับตัวเลขย้อนหลังลงอีก 258,000 ตำแหน่งจากที่เคยรายงานไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้ตลาดตอบสนองในทันที โดยดัชนี Dow Jones ร่วง 700 จุด และดัชนี VIX ซึ่งวัดความผันผวนของตลาด พุ่งขึ้นถึง 25% อย่างไรก็ตาม ตลาดก็ฟื้นตัวกลับมาได้ภายในไม่กี่วัน เพราะนักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทต่างๆ แทน

ความกังวลในระยะยาวไม่ได้อยู่แค่ตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอเพียงเดือนเดียว แต่เกิดจากบรรทัดฐานใหม่ที่ถูกสร้างขึ้น เนื่องจากความเป็นอิสระของหน่วยงานสถิติของสหรัฐ ถือเป็นหัวใจสำคัญของความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจของประเทศมาโดยตลอด โดยนอกจากข้อมูลการจ้างงานที่จะส่งผลต่อการกำหนดนโยบายของ Fed แล้ว สำนักงานสถิติแรงงานยังมีบทบาทสำคัญในการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สำหรับคาดการณ์เงินเฟ้อ รวมถึงตัวชี้วัดต่างๆ ที่ถูกนำไปใช้ในแบบจำลองการลงทุนทั่วโลก
🎓 Simply Finance: ความเสี่ยงด้านนโยบาย

ความเสี่ยงด้านนโยบายคือความเป็นไปได้ที่การตัดสินใจของภาครัฐจะส่งผลกระทบต่อการลงทุน ซึ่งแตกต่างจากความเสี่ยงด้านตลาดที่เกิดจากแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ เช่น Demand และ Supply ยกตัวอย่างเช่น หากรัฐบาลสั่งแบนสินค้าใดๆ ก็ตาม นั่นถือเป็นความเสี่ยงด้านนโยบาย แต่หากลูกค้าเลิกซื้อสินค้าเพราะรสนิยมเปลี่ยนไป ก็จะถือเป็นความเสี่ยงด้านตลาด