Weekly Buzz: วิธีลงทุนแบบกองทุน Venture Capital โดยไม่ต้องใช้เงินหลักล้าน

ปัจจุบัน เทรนด์ AI กำลังเพิ่มจำนวนมหาเศรษฐีอย่างต่อเนื่อง จน CNBC ให้นิยามว่านี่คือ ‘การสร้างความมั่งคั่งครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่’ โดยเมื่อเดือนที่แล้ว OpenAI สามารถระดมทุนได้ถึง 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำโดย SoftBank และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หุ้นของ Nebius ก็พุ่งขึ้นกว่า 60% หลังประกาศทำข้อตกลงด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า 19,400 ล้านดอลลาร์ฯ กับ Microsoft ซึ่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดนี้สามารถเปลี่ยนบริษัทเล็กๆ ให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ได้ในชั่วข้ามคืน ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องมีเส้นสายใน Silicon Valley เพื่อมีส่วนร่วมกับการเติบโตเหล่านี้ เพราะกองทุนแบบ Thematic จะช่วยให้คุณเข้าถึงโอกาสการลงทุนในนวัตกรรมเปลี่ยนโลกเหล่านี้ได้ โดยไม่ต้องพึ่ง Connection ใดๆ
ลงทุนในเมกะเทรนด์ที่กำลังเปลี่ยนโลก
กองทุน Venture Capital (VC) มักลงทุนใน Startup ที่มีศักยภาพเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมต่างๆ และมีโอกาสเติบโตในระยะยาว ส่วนการลงทุนแบบ Thematic ก็นำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้ในตลาดหุ้น แต่แทนที่จะต้องเลือกลงทุนใน Startup เป็นรายตัว นักลงทุนรายย่อยสามารถลงทุนได้ทั้งธีมผ่านกองทุน ETF ต่างๆ โดยไม่ต้องพยายามทายว่าใครจะเป็น Nvidia รายต่อไป
ตัวอย่างเช่น ตลาดรถยนต์ไร้คนขับทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 668,600 ล้านดอลลาร์ฯ ภายในปี 2033 โดยปัจจุบัน Waymo สามารถให้บริการรถยนต์ไร้คนขับมากกว่า 250,000 เที่ยวต่อสัปดาห์ ดังนั้น แทนที่จะพยายามเลือกผู้ชนะเพียงรายเดียว คุณสามารถลงทุนกับระบบนิเวศทั้งหมด ตั้งแต่ผู้ผลิตชิปที่ขับเคลื่อน AI ผู้ผลิตแบตเตอรี่อัจฉริยะ ไปจนถึงผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานของระบบคลาวด์
กลยุทธ์นี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงการเติบโตที่เกิดขึ้นในระบบนิเวศ AI โดยรวม ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ภายในปี 2030 ตัวอย่างเช่น กลุ่มธุรกิจ Healthcare ที่มีการนำ AI ของ Google มาช่วยตรวจหามะเร็งเต้านมด้วยความแม่นยำถึง 94.5% หรือ AI ของ Mastercard ที่สามารถตรวจจับธุรกรรมการฉ้อโกงได้เร็วกว่าเดิมถึง 2 เท่า และเมื่อเทคโนโลยีใหม่ๆ สามารถพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมได้ทั้งระบบ การลงทุนแบบ Thematic ก็อาจสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น ซึ่งจะช่วยเสริมผลตอบแทนในพอร์ตหลักที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีอยู่แล้ว
ส่งผลอย่างไรต่อนักลงทุน?
แม้การลงทุนแบบ Thematic จะช่วยเปิดโอกาสให้คุณมีส่วนร่วมกับเมกะเทรนด์ในระยะยาว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการลงทุนแบบนี้จะให้ผลตอบแทนง่ายๆ เสมอไป เพราะกองทุน Thematic อาจมีความผันผวนสูง และความคาดหวังของนักลงทุนก็อาจแซงหน้าผลกำไรที่แท้จริง ธีมบางธีมอาจไม่รอดในระยะยาว ขณะที่บางธีมอาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสร้างผลตอบแทนได้
กลยุทธ์ที่ชาญฉลาดคือให้มองการลงทุนแบบ Thematic เสมือนการลงทุนแบบ VC และเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตโดยรวมของคุณ โดยวางพอร์ตหลักให้มีกระจายการลงทุนทั่วโลก ทั้งในหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์อื่นๆ จากนั้นก็เสริมด้วยธีมที่คุณเชื่อมั่นจริงๆ ในสัดส่วนที่เล็กกว่า อธิบายง่ายๆ คือ การลงทุนแบบ Thematic คือวิธีการ ‘เล่นเกมรุก’ ในขณะที่พอร์ตหลักยังทำหน้าที่เป็น ‘แนวรับ’ ที่มั่นคง
(หากคุณอยากมีส่วนร่วมกับการเติบโตของผู้นำนวัตกรรม AI เหล่านี้ ลองดูธีม Technology Enablers ภายใต้ Thematic Portfolio ของเรา)
💡 Investor’s Corner: พลังงานสะอาดของโลกผลิตที่จีน
ปัจจุบัน จีนได้กลายเป็น ‘โรงงานพลังงานสะอาดของโลก’ ไปแล้ว โดยล่าสุด บริษัทจีนกลายเป็นผู้ผลิตแผงโซลาร์กว่า 80% และกังหันลมอีกกว่า 60% ของทั้งโลก ดังนั้น เมื่อรัฐบาลประเทศต่างๆ ประกาศเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ ส่วนใหญ่ก็ยังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากจีน
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนได้อัดฉีดเงินกว่า 625,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 เพียงปีเดียว หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของการลงทุนพลังงานสะอาดทั่วโลก ทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าจากลมและแสงอาทิตย์ของจีนเพิ่มขึ้น 2 เท่านับตั้งแต่ปี 2021 และการกักเก็บพลังงานจากแบตเตอรี่ก็เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผ่านด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจด้วย จากต้นทุนที่ลดลง การนำไปใช้งานจริงที่เร่งตัวมากขึ้น ตลอดจน Supply Chain ของจีนที่ครองความได้เปรียบอยู่ในขณะนี้

สำหรับนักลงทุน การขยายตัวนี้สะท้อนให้เห็นว่าเงินทุนทั่วโลกกำลังไหลไปทางไหน โดยประเทศต่างๆ จะต้องตัดสินใจว่าจะเลือกนำเข้าจากจีน หรือสร้างอุตสาหกรรมภายในประเทศขึ้นมาเอง แต่ไม่ว่าทางใดก็ตาม การลงทุนในพลังงานสะอาดก็กำลังเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายถึงโอกาสที่ไม่ได้อยู่แค่ผู้ส่งออกจีน แต่รวมถึงผู้ผลิตและ Supplier ทั่วโลกที่อยู่ใน Supply Chain นี้อีกด้วย
🎓 Simply Finance: กองทุน ETF

Exchange-traded Fund หรือ ETF คือกองทุนที่รวมสินทรัพย์หลายๆ ตัวไว้ในที่เดียว และสามารถซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ได้เหมือนหุ้น โดยแต่ละ ETF มักจะประกอบไปด้วยสินทรัพย์หลากหลายประเภท อาจมีตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักร้อยรายการ โดย ETF สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือติดตามดัชนีตลาดโดยรวมอย่าง S&P 500 ได้ หรือจะเน้นลงทุนในภูมิภาคต่างๆ เช่นตลาดเกิดใหม่ หรือในธีมต่างๆ เช่น พลังงานสะอาด ก็สามารถทำได้เช่นกัน ซึ่งความยืดหยุ่นนี้ ทำให้ ETF ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุนรายย่อย เพราะช่วยให้พวกเขากระจายการลงทุนได้ทันที และยังมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม