Weekly Buzz: Earnings Season บอกอะไรเรา?

07 November 2025

แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

ผลประกอบการของบริษัทสหรัฐใน Q3/2025 ออกมาน่าประทับใจเกินคาด โดยข้อมูลจาก FactSet พบว่า บริษัทจดทะเบียนของสหรัฐ รายงานผลกำไรสูงกว่าคาดการณ์มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2021 และยังมี Margin กำไรเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดจะมองบวก แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าความแข็งแกร่งนี้กระจุกตัวอยู่ในหุ้นกลุ่มเดิมๆ ที่เรารู้จักกันดี

รายได้ที่โดดเด่น

หุ้นกลุ่ม Magnificent Seven ยังคงเป็นพระเอกของฤดูประกาศผลประกอบการครั้งนี้ โดย 4 ใน 5 บริษัททำผลงานได้เหนือความคาดหมาย ได้แก่

  • Alphabet บริษัทแม่ของ Google มีรายได้ทะลุ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรก
  • Amazon มีกำไรสูงกว่าคาดถึง 25% จากธุรกิจคลาวด์ที่ฟื้นตัวแรง
  • Apple รายได้สูงกว่าคาด 5% แม้การใช้จ่ายของผู้บริโภคจะเริ่มชะลอ
  • Microsoft ทำผลงานดีกว่าคาด โดยมีธุรกิจคลาวด์เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก
  • Meta บริษัทแม่ของ Facebook ทำผลงานได้ต่ำกว่าเป้าของนักวิเคราะห์ แต่รายได้ยังเติบโตได้ดี

โดยรวมแล้ว กลุ่มเทคโนโลยี ยังเป็นผู้นำของการเติบโตในดัชนี S&P 500 เช่นเดียวกับกลุ่มการเงิน ขณะที่ ผู้บริหารของกลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภค เช่น Kimberly-Clark และ McDonald’s ระบุว่า ชาวอเมริกันยังใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง เนื่องจากภาระค่าที่อยู่อาศัย เงินเฟ้อที่ยังสูง และความไม่แน่นอนเรื่องภาษีนำเข้า

Key Takeaway

ผลประกอบการของกลุ่มเทคโนโลยีถือว่ายอดเยี่ยม และ AI ก็มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งรองรับอยู่ โดยบริษัทเหล่านี้ไม่ได้แค่ทุ่มเงินกับโครงสร้างพื้นฐานเพียงอย่างเดียว แต่สามารถสร้างรายได้จากบริการ AI ได้จริงๆ อย่างไรก็ตาม ตลาดที่ขึ้นอยู่กับหุ้นกลุ่มเดียวมากเกินไปก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เพราะหากกลุ่ม Big Tech เริ่มสะดุด ก็อาจส่งผลกระทบต่อทั้งตลาดได้แรงกว่าที่คิด

ดังนั้น การกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจ และภูมิภาค ยังคงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของการกระจุกตัว แต่ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้มีส่วนร่วมกับการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงโอกาสอื่นๆ ทั่วโลก

(หากคุณกำลังมองหาพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีทั่วโลก ลองดูพอร์ต General Investing ของเรา)

Investor’s Corner: จะสร้างพอร์ตที่แข็งแกร่ง แต่ยังมีเงินสดพร้อมใช้ได้อย่างไร?

นักลงทุนจำนวนมากมักเก็บเงินสดไว้ ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผลดี เพราะปลอดภัย ไม่เหวี่ยงขึ้นลงเหมือนตลาดหุ้น แต่ในขณะเดียวกัน เงินสดก็ไม่เติบโต ถ้าปล่อยให้อยู่นิ่งๆ นานเกินไป คุณก็อาจไม่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากพลังของผลตอบแทนทบต้น แม้จะเพียงไม่กี่เดือน แต่ก็อาจส่งผลต่อผลตอบแทนระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ

ความสมดุลที่แท้จริงจึงไม่ใช่เรื่องความปลอดภัยกับการเติบโตเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของสภาพคล่องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยสภาพคล่องหมายถึงความเร็วในการเข้าถึงเงินของคุณ ซึ่งสำคัญ เพราะชีวิตไม่ได้เป็นไปตามแผนเสมอไป คุณอาจจะต้องซ่อมรถกะทันหัน หรืออาจมีทริปในฝันที่คุณไม่อยากพลาด ดังนั้น เป้าหมายคือการหาจุดสมดุลระหว่างการมีเงินสดเพียงพอสำหรับเหตุฉุกเฉินและค่าใช้จ่ายต่างๆ กับการนำเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนในพอร์ตที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว

สำหรับพอร์ตที่ต้องการสภาพคล่องสูง กองทุนตลาดเงินถือเป็นจุดกึ่งกลางที่ดี เพราะกองทุนเหล่านี้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นมาก (ครบกำหนดภายในไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์) ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป แต่ยังคงมีสภาพคล่องสูง อีกทางเลือกคือ กองทุนพันธบัตรระยะสั้น ซึ่งลงทุนในพันธบัตรที่มีอายุตั้งแต่ 1-3 ปี มีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนตลาดเงินเล็กน้อย แต่ก็ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า

ท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายไม่ใช่การเลือกระหว่าง ‘ความปลอดภัย’ หรือ ‘การเติบโต’ แต่คือการสร้างพอร์ตให้ทั้งคู่สามารถทำงานร่วมกันได้

(หากคุณกำลังมองหาวิธีบริหารเงินสดให้มีสภาพคล่อง และยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี ลองดูพอร์ต USD Cash Plus ของเรา)

Simply Finance: รายได้ vs กำไร

รายได้ คือ ยอดเงินทั้งหมดที่บริษัทได้รับจากการขายสินค้า หรือบริการให้ลูกค้า ส่วนกำไร คือ เงินที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าเช่า ภาษี หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ดังนั้น บริษัทก็อาจมีรายได้เพิ่มขึ้นได้ แม้กำไรจะลดลง เพราะต้นทุนเพิ่มเร็วกว่ายอดขาย


แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email