Weekly Buzz: หุ้นชิปพุ่งกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์ฯ ภายในวันเดียว

ราคาหุ้นของผู้ผลิตชิปทำสถิติพุ่งแรงที่สุดภายในวันเดียว ทำให้บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นรวมกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ OpenAI ซึ่งตอนนี้มีมูลค่าบริษัทราว 500,000 ล้านดอลลาร์ฯ ปิดดีลมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ฯ กับผู้ผลิตชิปรายใหญ่
อะไรคือแรงขับเคลื่อนครั้งนี้?
การปรับตัวขึ้นครั้งนี้เกิดขึ้นทั่วทั้ง Value Chain ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ นำโดยกลุ่มผู้ผลิตชิปของเกาหลีใต้ เช่น SK Hynix ที่พุ่งกว่า 10-12% ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาล ส่วน Samsung ก็ปรับตัวขึ้นเกือบ 4% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2021 โดย OpenAI ได้ทำข้อตกลงความร่วมมืออย่างเป็นทางการกับทั้ง 2 บริษัทเพื่อจัดหาชิปหน่วยความจำความเร็วสูง (High-Bandwidth Memory) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างยิ่งต่อโครงสร้างพื้นฐาน AI
ไม่กี่วันถัดมา AMD ก็พุ่งขึ้นกว่า 24% หลังประกาศดีลมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ฯ กับ OpenAI เช่นกัน ซึ่งดีลนี้ช่วยกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพา Nvidia ซึ่งเป็นผู้นำตลาดชิปในปัจจุบัน เพราะเมื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI เติบโตจนแตะระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ฯ การพึ่งพา Supplier แค่รายเดียวก็อาจสร้างปัญหาคอขวดได้
ทั้งนี้ OpenAI (ผู้พัฒนา AI ที่เรารู้จักกันดีอย่าง ChatGPT) มี Valuation เติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 29,000 ล้านดอลลาร์ฯ เมื่อเดือน เม.ย. 2023 จนกลายเป็น Startup ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกที่ 500,000 ล้านดอลลาร์ฯ ในปัจจุบัน ซึ่งรายได้ของ OpenAI ก็สะท้อนการเติบโตครั้งนี้อย่างชัดเจน โดยครึ่งปีแรกของปี 2025 พวกเขามีรายได้ถึง 4,300 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้นจาก 3,700 ล้านดอลลาร์ฯ ของทั้งปี 2023
ส่งผลอย่างไรต่อนักลงทุน?
Deloitte ประเมินว่ายอดขายชิปทั่วโลกจะเพิ่มจาก 627,000 ล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2024 มาอยู่ที่ 697,000 ล้านดอลลาร์ฯ ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม Valuation ของหุ้นในอุตสาหกรรมนี้ได้เริ่มเข้าสู่เขต ‘ร้อนแรงเกินไป’ โดยบรรดาบริษัทเทคโนโลยีกำลังทุ่มงบกว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ฯ ต่อปี เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขณะที่รายได้จากบริการ AI สำหรับผู้บริโภคมีเพียง 12,000 ล้านดอลลาร์ฯ เท่านั้น
แม้เส้นทางในระยะข้างหน้าอาจซ้ำรอยกับยุค ‘ฟองสบู่ดอทคอม’ ที่บริษัทจำนวนมากได้ล่มสลายไประหว่างทาง แต่บริษัทเหล่านั้นก็ได้วางรากฐานให้กับโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตที่เราใช้กันอยู่ถึงทุกวันนี้ ดังนั้น การกระจายการลงทุนใน Value Chain ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ นับตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการผลิต จะช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัว และยังคงมีโอกาสเติบโตไปกับเทรนด์ AI ในระยะยาว
(หากคุณต้องการกระจายการลงทุนในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี ลองดูธีม Technology Enablers ภายใต้ Thematic Portfolio ของเรา)
Investor’s Corner: สภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นกำลังหนุนตลาดทั่วโลก
สภาพคล่องทั่วโลก คือ กระแสของเงินสดและสินเชื่อที่ไหลเวียนอยู่ในระบบการเงินทั่วโลก เปรียบได้กับ ‘ออกซิเจน’ ของระบบเศรษฐกิจโลกที่ขับเคลื่อนด้วยหนี้ โดยนักเศรษฐศาสตร์มักติดตามปริมาณสภาพคล่องผ่านตัวเลข M2 ซึ่งรวมถึงเงินสดและเงินฝากในธนาคารของประเทศเศรษฐกิจหลักต่างๆ โดยปัจจุบันมูลค่ารวมของ M2 ทั่วโลกอยู่ที่ราว 96 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนตลาดที่ทรงพลังที่สุด และยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ในช่วงวิกฤติ COVID ปี 2020 สภาพคล่องจำนวนมหาศาลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้ช่วยพยุงเศรษฐกิจโลกไม่ให้ทรุดตัวลงอย่างรุนแรง และเมื่อปี 2024 เราได้เห็น ‘คลื่นสภาพคล่อง’ อีกระลอกที่เข้ามาช่วยบรรเทาผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และนั่นก็คือเหตุผลสำคัญที่เศรษฐกิจโลกยังเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมาโดยไม่เข้าสู่ภาวะ Recession เพราะสภาพคล่องยังคงไหลเวียนได้ดีในระบบเศรษฐกิจ แม้อัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้นก็ตาม
แล้วสิ่งนี้ส่งผลต่อพอร์ตของคุณอย่างไร? เมื่อมีสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ระบบ เงินสดเหล่านี้จะไม่ถูกปล่อยให้นิ่งอยู่นาน โดยนักลงทุนมักจะนำเงินสดไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้นและมีความเสี่ยงมากขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมสินทรัพย์อย่างหุ้นเทคโนโลยีหรือ Bitcoin จึงมักปรับตัวขึ้นในช่วงที่สภาพคล่องทั่วโลกขยายตัว ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวยังไม่น่าจะสิ้นสุดในเร็วๆ นี้ เพราะรัฐบาลหลายประเทศเริ่มหันมาใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวมากขึ้น หมายความว่า ‘ก๊อกสภาพคล่องทั่วโลก’ น่าจะยังคงเปิดอยู่ต่อไป
(หากคุณกำลังมองหาพอร์ตที่ถูกออกแบบมาเพื่อคว้าโอกาสเติบโตไปกับสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก ลองดูพอร์ต General Investing ของเรา)
เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize