แร่ชนิดสำคัญที่กำลังขับเคลื่อนโลกยุคใหม่ หรือที่ในแวดวงอุตสาหกรรมเรียกกันว่า ‘Future Minerals’ กำลังเผชิญกับปัญหา Supply ไม่เพียงพอต่อ Demand อย่างรุนแรง ทำให้นักวิเคราะห์บางรายมองว่านี่คือโอกาสในการลงทุน ขณะที่ JPMorgan ระบุว่านี่คือ ‘Supercycle’ ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

เกิดอะไรขึ้น?

คาดกันว่าโลกจะขาดแคลนทองแดงถึง 6 ล้านตันภายในปี 2030 หรือประมาณ 27% ของปริมาณการผลิตทองแดงทั่วโลกตลอดทั้งปี และสำหรับลิเทียม มีการประเมินว่าภายในปี 2040 จะมี Demand เพิ่มขึ้นจากเมื่อ 5 ปีก่อนถึง 20 เท่า ทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ราคาทองแดงพุ่งขึ้นกว่า 40% ขณะที่ ราคาลิเทียมเคยพุ่งสูงถึง 500% ก่อนจะปรับตัวลงเล็กน้อย

ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องปริมาณ แต่รวมถึงปัจจัยทางภูมิศาสตร์และความซับซ้อนของ Supply Chain ทั้งหมด เพราะการถลุงแร่ลิเทียมส่วนใหญ่ยังมาจากแค่ 3 ประเทศเท่านั้น คือ ออสเตรเลีย ชิลี และจีน และการเปิดเหมืองใหม่ยังต้องใช้เวลาหลายปีและเงินลงทุนมหาศาล

ขณะเดียวกัน การใช้งานแร่เหล่านี้ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้า 1 คันต้องใช้ทองแดงมากกว่ารถยนต์ทั่วไปราว 4 เท่า ซึ่งในประเทศจีน รถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มครองส่วนแบ่งตลาดเกือบ 50% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากเพียง 2% เมื่อปี 2020 นอกจากนี้ รัฐบาลทั่วโลกยังออกมาตรการใหม่ที่เกี่ยวข้องกับแร่สำคัญเหล่านี้มากกว่า 100 ฉบับในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

Key Takeaway

สิ่งที่หลายคนอาจนึกถึงเป็นอันดับแรกคือการลงทุนโดยตรงในสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ แต่ทางเลือกที่ดีกว่าอาจเป็นการลงทุนในบริษัทที่อยู่เบื้องหลังแร่เหล่านี้แทน เพราะจะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ดีกว่า

‘ยุคตื่นทอง’ ในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริษัทเหมืองต้นน้ำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่ ผู้พัฒนาโครงข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้า และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสสำหรับการลงทุนในหลากหลายธุรกิจทั่วทั้ง Value-chain

(Flexible Portfolio ของเรา ออกแบบมาให้คุณสามารถเข้าถึง ETF ที่ลงทุนในบริษัทเหมืองแร่ และบริษัทโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด หรือหากต้องการจะผสมผสานหลากหลายกลุ่มธุรกิจใน Value-chain ทั้งหมดเพื่อกระจายความเสี่ยง ก็สามารถทำได้ตามใจคุณ)

เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize

📰 ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ: ยูโรจะขึ้นมาท้าชิงดอลลาร์ฯ ได้หรือไม่?

“เงินยูโรอาจกลายเป็นทางเลือกแทนเงินดอลลาร์สหรัฐได้ แต่ก็มีเงื่อนไขว่ายุโรปต้องปรับตัวและร่วมมือกันอย่างจริงจัง” นี่คือสารสำคัญจาก Christine Lagarde ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่กล่าวถึงวิสัยทัศน์อันทะเยอทะยานของเธอที่มีต่อบทบาทของทวีปยุโรปบนเวทีโลก

จังหวะเวลาในการพูดของเธอไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะปัจจุบัน นักลงทุนทั่วโลกต่างรู้สึกกังวลกับนโยบายเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเลือกทองคำเป็นที่หลบภัย แทนที่จะเป็นเงินยูโร

ตัวเลขไม่เคยโกหกใคร เห็นได้จากเงินดอลลาร์ฯ ที่ยังคงมีสัดส่วนราว 60% ของทุนสำรองระหว่างประเทศ ขณะที่เงินยูโรมีสัดส่วนอยู่ที่ 20% เท่านั้น ซึ่ง Lagarde แสดงความเห็นว่า หากเงินยูโรจะก้าวขึ้นมาท้าชิงได้ ยุโรปก็จำเป็นต้องมีตลาดที่ ‘ลึก’ และเป็น ‘หนึ่งเดียวกัน’ มากขึ้น รวมถึงกรอบความร่วมมือด้านกลาโหมเพื่อสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

สิ่งที่ชัดเจนคือ การเปลี่ยนแปลงสถานะของสกุลเงินหลักนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่ปี แต่ต้องใช้เวลาเป็นทศวรรษ ซึ่งแม้เราจะเริ่มเห็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่อิทธิพลของเงินดอลลาร์ฯ ก็ยังไม่น่าจะจางหายไปในเร็ววันนี้

(รอติดตามการวิเคราะห์โอกาสและความท้าทายของทวีปยุโรปได้ใน CIO Insights ฉบับเดือน มิ.ย. นี้) 

📖 รอบรู้เรื่องลงทุน: Supercycle ของสินค้าโภคภัณฑ์

วัฏจักร Supercycle ของสินค้าโภคภัณฑ์ คือ ช่วงเวลายาวนานที่ราคาวัตถุดิบพุ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ Supercycle ในจีน ช่วงต้นทศวรรษ 2000 ที่การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วของจีนในเวลานั้น ก่อให้เกิด Demand ของโลหะอย่างมหาศาล เช่น เหล็กและทองแดง โดยนักวิเคราะห์บางรายมองว่า ขณะนี้เราอาจอยู่ในช่วงเริ่มต้นของ Supercycle ครั้งใหม่ที่ได้รับแรงขับเคลื่อนจากการที่ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคพลังงานสะอาด