Weekly Buzz: รับมืออย่างไร? เมื่อนโยบายการเงินทั่วโลกเริ่มไปคนละทิศคนละทาง

19 December 2025

แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Fed ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งสุดท้ายของปี 2025 และในสัปดาห์นี้จะเป็นคิวของธนาคารกลางใหญ่อีก 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ)

ทางใครทางมัน

บรรดา Trader คาดการณ์ว่า BoE จะปรับลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ของปีนี้ โดยจะลดลงอีก 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 3.75% ซึ่งเหตุผลนั้นค่อนข้างชัดเจน เพราะ GDP ของอังกฤษหดตัวลงในเดือน ต.ค. ส่วนอัตราการว่างงานก็พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 5.1% ขณะที่ ECB มีแนวโน้มจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2% หลังจากปรับลงมาแล้วถึง 8 ครั้ง โดยผู้กำหนดนโยบายต้องการรอดูสถานการณ์เพื่อให้แน่ใจว่าเงินเฟ้อจะไม่กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ในขณะที่ค่าจ้างแรงงานเริ่มชะลอตัวและ Demand เริ่มอ่อนแอลง

ในทางกลับกัน BoJ มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 0.75% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษ เนื่องจากความเสี่ยงเรื่องกำแพงภาษีนำเข้าเริ่มคลี่คลาย ในขณะที่เงินเฟ้อในประเทศยังคงสูงกว่า 2% มานานกว่า 3 ปีแล้ว นอกจากนี้ ผลสำรวจรายไตรมาส ‘Tankan’ เมื่อต้นสัปดาห์ยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจที่ดีขึ้นและค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะยิ่งสนับสนุนให้ BoJ ดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น

ปัจจุบัน ตลาด Swap (ตลาดแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย) ให้น้ำหนักว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าการลดดอกเบี้ยในปีหน้าสำหรับบางประเทศในยุโรป แคนาดา และออสเตรเลีย แต่สหรัฐกลับยืนอยู่คนละฝั่ง โดยบรรดา Trader คาดการณ์ว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้งในปี 2026

ส่งผลอย่างไรต่อนักลงทุน?

อัตราดอกเบี้ยคือปัจจัยที่เป็นตัวกำหนด ‘ราคาของเงิน’ โดยดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ จะช่วยสนับสนุนการกู้ยืม การลงทุน และความกล้ารับความเสี่ยง ในขณะที่ดอกเบี้ยในระดับสูง จะช่วยชะลอ Demand และตรึงเงินเฟ้อเอาไว้ โดยปัจจุบัน แรงขับเคลื่อนเหล่านี้กำลังขัดแย้งกันในแต่ละภูมิภาค ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกอย่าง นับตั้งแต่การประเมินมูลค่าหุ้น ผลตอบแทนจากตราสารหนี้ ไปจนถึงการเคลื่อนไหวของค่าเงินและ Sentiment ของตลาด

เมื่อธนาคารกลางต่างๆ ดำเนินนโยบายไม่สอดคล้องกัน การลงทุนแบบกระจุกตัวจะยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้น เพราะพอร์ตการลงทุนที่ยึดติดกับเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง จะต้องคาดการณ์ให้ถูกต้องทั้งเรื่องนโยบาย การเติบโต และเงินเฟ้อไปพร้อมๆ กัน ในทางกลับกัน พอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนไปทั่วโลก จะช่วยกระจายความเสี่ยงไปยังทุกภูมิภาคและทุกวัฏจักรเศรษฐกิจ เพื่อให้แต่ละส่วนช่วยพยุงซึ่งกันและกัน ซึ่งในระยะยาว ความสมดุลเช่นนี้จะมีความสำคัญมากกว่าการพยายามคาดเดาว่าธนาคารกลางแห่งไหนจะปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นรายต่อไป

(หากคุณกำลังมองหาพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจ และภูมิภาค พอร์ต General Investing ของเรา อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม 😎)

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ: จีนเจาะตลาดใหม่ ดันยอดส่งออกพุ่ง

เดือน พ.ย. ที่ผ่านมา จีนทำสถิติเกินดุลการค้าครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้ยอดเกินดุลสะสม YTD พุ่งเข้าใกล้ระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยยอดการส่งออกของจีนขยายตัวเกือบ 6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ว่าการส่งสินค้าไปสหรัฐจะลดลงอย่างมาก เนื่องจากการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี Donald Trump

เมื่อประตูสู่ตลาดสหรัฐถูกกีดกัน ผู้ส่งออกจีนจึงเบนเป้าส่งสินค้าไปยังยุโรป ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะยอดส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (EU) ที่พุ่งขึ้นเกือบ 15% YoY การเปลี่ยนทิศทางนี้ช่วยหนุนให้ยอดเกินดุลการค้ารายเดือนของจีนแตะระดับ 112,000 ล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

อย่างไรก็ตาม การปรับตัวนี้ก็มีขีดจำกัด เพราะผู้ผลิตในยุโรปเริ่มรายงานถึงแรงกดดันที่เพิ่มสูงขึ้นจากการทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูก ในขณะที่บรรดาผู้กำหนดนโยบายกำลังถกเถียงกันเรื่องมาตรการทางการค้าที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ส่วนบริษัทต่างๆ ใน EU ก็ยังคงเดินหน้ากระจายความเสี่ยงใน Supply Chain ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการตั้งฐานการผลิตในจีนเพื่อรองรับตลาดท้องถิ่น หรือย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกไปยังประเทศอื่น

ทั้งนี้ ภาคการส่งออกจีนที่แข็งแกร่ง กำลังเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังคงอ่อนแอ โดยรัฐบาลจีนให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนของภาคธุรกิจในปีหน้า แม้ว่าสัญญาณนโยบายล่าสุดจะบ่งชี้ว่าอาจเป็นมาตรการแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบชุดใหญ่ก็ตาม

Simply Finance: การเกินดุลและการขาดดุลการค้า

การเกินดุลการค้า (Trade Surplus) หมายถึงสภาวะที่ประเทศใดประเทศหนึ่งมียอดการส่งออกมากกว่าการนำเข้า กล่าวคือมีการขายสินค้าและบริการให้กับทั่วโลกมากกว่าที่ซื้อเข้ามา ในทางกลับกัน เมื่อยอดการนำเข้าสูงกว่าการส่งออก จะเรียกว่า การขาดดุลการค้า (Trade Deficit) ซึ่งทั้ง 2 สภาวะนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ดีหรือแย่เสมอไป โดยการ ‘เกินดุล’ อาจสะท้อนให้เห็นถึงภาคการผลิตที่แข็งแกร่งและความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการบริโภคภายในประเทศที่อ่อนแอได้เช่นกัน


แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email