ทำไม StashAway ถึงโฟกัสการทำ Asset Allocation มากกว่าการเลือกหุ้นรายตัว

04 March 2024

การเลือกหุ้นรายตัวต้องอาศัยความรู้และความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อที่จะประเมินมูลค่าปัจจุบัน และมูลค่าอนาคตของหลักทรัพย์นั้นๆ ได้อย่างแม่นยำ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ทั้งเวลาและทีมงาน ซึ่งนอกจากจะเป็นสิ่งที่ยากและใช้เวลาแล้ว การเลือกหุ้นรายตัว รวมถึงการจับจังหวะซื้อ-ขาย กลับไม่ได้สร้างผลตอบแทนอย่างที่ควรจะเป็น

โดยงานวิจัยของ SPIVA US Scorecard ปี 2022 ที่จัดทำขึ้นโดย S&P Dow Jones Indices พบว่ามีผู้จัดการกองทุนแบบ Active (ที่จับจังหวะและเลือกหุ้นรายตัว) ถึง 94.79% ที่ทำผลตอบแทนได้น้อยกว่า Benchmark ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานมาก หมายความว่ามีกองทุนแบบ Active แค่ราว 5% เท่านั้นที่ทำผลตอบแทนชนะตลาดได้ในระยะยาว ซึ่งข้อมูลของประเทศอื่นๆ ในหลายช่วงเวลา ยังชี้ไปในทิศทางเดียวกัน

ที่ StashAway เราไม่ลงทุนในหุ้นรายตัวและกองทุนรวมแบบ Active แต่เราเลือกที่จะสร้างพอร์ตให้นักลงทุนของเรา ด้วยการคัดสรร ETF (Exchange-traded Fund) ที่มีการกระจายการลงทุนที่ดี สภาพคล่องสูง และค่าธรรมเนียมต่ำ โดยการลงทุนใน ETF เท่ากับการซื้อทั้งตลาด เพราะ ETF มักมีสัดส่วนการลงทุนที่สอดคล้องกับดัชนีที่อ้างอิง และยังทำให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก ในรูปแบบที่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี และค่าธรรมเนียมต่ำ

ยกตัวอย่างเช่น StashAway จะไม่เลือกหุ้นรายตัวระหว่าง General Motor หรือ General Electric แต่จะมุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับการบริหาร Asset Allocation โดยจะวิเคราะห์ข้อมูลทางเศรษฐกิจและตัดสินใจว่าควรเพิ่มนํ้าหนักใน ‘หุ้น Large-cap ในสหรัฐ’ หรือไม่ หรือควรเปลี่ยนไปลงทุนใน ‘หุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่’, ‘พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว’ หรือทองคำแทน เพื่อออกแบบ Asset Allocation ของพอร์ตให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้นๆ

การให้ความสำคัญต่อการจัด Asset Allocation อย่างเป็นระบบ แทนการเลือกหุ้นรายตัว ทำให้เราสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว สอดคล้องกับงานวิจัยระยะยาวหลายฉบับที่พบว่า Asset Allocation เป็นส่วนสำคัญในการสร้างผลตอบแทนถึง 80-96% ไม่ใช่การเลือกหลักทรัพย์รายตัว

ในการออกแบบ Asset Allocation เราสามารถกำหนดสัดส่วนระหว่าง ‘สินทรัพย์เติบโต’ และ ‘สินทรัพย์ปรับสมดุล’ เพื่อให้พอร์ตมีระดับความเสี่ยงที่หลากหลาย และตรงตามความต้องการของแต่ละบุคคล โดยการบริหาร Asset Allocation ให้เหมาะสมในแต่ละภาวะเศรษฐกิจ เป็นรากฐานของเทคโนโลยีการลงทุน ERAA™ ที่จะคัดสรรสินทรัพย์ที่เหมาะสมที่สุดตามข้อมูลเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น ดังนั้นหากข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลง เช่น เกิด Recession ระบบก็จะปรับ Asset Allocation ของพอร์ตโดยอัตโนมัติ เพื่อรักษาความเสี่ยงของพอร์ตให้ได้ตามระดับที่คุณกำหนดไว้นั่นเอง


แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ