CIO Insights: AI ร้อนแรง ตลาดแรงงานชะลอตัว และท่าทีที่ผ่อนคลายของ Fed

10 November 2025
Stephanie Leung
Group CIO

แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 นักลงทุนต้องเผชิญกับกระแสข่าวมากมายในตลาด นับตั้งแต่ความคึกคักของเทรนด์ AI การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไปจนถึงสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง เหตุการณ์เหล่านี้ยิ่งทำให้ ‘การมองภาพใหญ่’ มีความสำคัญยิ่งขึ้น โดยเศรษฐกิจโลกที่แม้จะชะลอตัวลง แต่ก็ยังคงมีความทนทาน เพราะได้รับแรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุน และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย

ใน CIO Insights เดือนนี้ เราจะมาวิเคราะห์กันว่าแรงขับเคลื่อนต่างๆ เช่น เม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาล ตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลง และท่าทีของ Fed ที่ผ่อนคลายมากขึ้น กำลังส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในช่วงปลายปีอย่างไร? และเหตุใดเราถึงมองว่าปัจจัยเหล่านี้ยังคงเป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงในภาพรวม

3 Key takeaways

  • เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเคลื่อนไหวแบบ ‘2 ทาง’ มากขึ้น โดยการลงทุนในภาคธุรกิจยังคงแข็งแกร่ง แต่ตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัว โดยการลงทุนในภาคธุรกิจ  ยังได้รับแรงหนุนจากเทรนด์ AI ซึ่งช่วยพยุงการเติบโตของเศรษฐกิจไว้ได้ ขณะเดียวกัน ตลาดแรงงานกลับเริ่มชะลอตัวลงจาก Demand ที่ชะลอตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจ รวมถึงการลดจำนวนเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งกดดันการจ้างงานโดยรวม ความแตกต่างนี้ สะท้อนให้เห็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึงในปัจจุบัน

  • ในระยะสั้น ข่าวพาดหัวต่างๆ อาจเพิ่มความผันผวนให้ตลาด แต่ไม่น่าส่งผลให้ Fed เปลี่ยนท่าทีที่ผ่อนคลาย แม้ AI จะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจและตลาดในระยะยาว แต่ความไม่แน่นอนด้านนโยบายและภูมิรัฐศาสตร์อาจสร้าง ‘เสียงรบกวน’ ระยะสั้น เช่น ผลกระทบจาก Government Shutdown (การปิดหน่วยงานภาครัฐ) ของสหรัฐ และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่อาจกระตุ้นให้ตลาดผันผวนเป็นระยะแม้เศรษฐกิจจะยังเติบโตได้อย่างมั่นคง ซึ่งสำหรับ Fed แล้ว สถานการณ์ในลักษณะนี้ยิ่งเป็นแรงหนุนให้พวกเขาสามารถลดดอกเบี้ยได้อย่างระมัดระวัง ตามแนวทางที่เคยส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้

  • สภาพเศรษฐกิจโดยรวมในปัจจุบัน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเม็ดเงินลงทุน AI รวมถึงนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลายลง ยังคงเป็นประโยชน์ต่อสินทรัพย์เสี่ยง การที่ Fed กลับมาเริ่มวงจรการลดดอกเบี้ยอีกครั้ง ประกอบกับนโยบายการคลังที่ผ่อนคลายลงในหลายประเทศเศรษฐกิจหลัก เป็นสัญญาณว่าบรรดาผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกพร้อมกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไป ซึ่งน่าจะช่วยให้เศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะ ‘Inflationary Growth’ ต่อไป โดยภาวะเศรษฐกิจแบบนี้จะเป็นประโยชน์ต่อหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ขณะที่ ทองคำ แม้ราคาจะพุ่งขึ้นมาสูงแล้วในปีนี้ แต่ Demand ในระยะยาว รวมถึงบทบาทของทองคำในฐานะเครื่องมือกระจายความเสี่ยงในพอร์ต ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

เศรษฐกิจแบบ 2 ทางของสหรัฐ: เม็ดเงินลงทุน AI จำนวนมหาศาล vs ตลาดแรงงานที่เริ่มชะลอตัว

ในบทความ 2025 Macro Outlook: ‘FAT’ คือ new normal เมื่อต้นปี เราได้วิเคราะห์ไว้ว่า AI คือหนึ่งในแรงขับเคลื่อนเชิงโครงสร้างที่กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าตลาดทั่วโลก และสิ่งที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ก็คือภาพจริง โดยเม็ดเงินลงทุน AI จำนวนมหาศาล กำลังช่วยให้ GDP ของสหรัฐเติบโตมากขึ้น แม้ตลาดแรงงานจะเริ่มชะลอตัวลงก็ตาม

ความแตกต่างระหว่างการลงทุนภาคธุรกิจที่ยังแข็งแกร่งกับตลาดแรงงานที่อ่อนแรงลง สะท้อนให้เห็นถึงความไม่สม่ำเสมอของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และอาจเป็นปัจจัยที่เปิดทางให้ Fed ปรับนโยบายการเงินไปในทิศทางที่ ‘ผ่อนคลายมากขึ้น’ เพื่อพยุงตลาดแรงงาน

เม็ดเงินลงทุนด้าน AI ช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ

ตลอดทั้งปีนี้ การลงทุนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ และส่วนใหญ่มาจากการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI

ผลของการลงทุนเหล่านี้เริ่มปรากฏให้เห็นในข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคแล้ว ตามที่เห็นในกราฟ 1 โดยการลงทุนของกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงเซิร์ฟเวอร์ ซอฟต์แวร์ อุปกรณ์สื่อสาร และการวิจัยและพัฒนา มีส่วนช่วยให้การลงทุนของภาคธุรกิจใน Q2/2025 ขยายตัวกว่า 4 จุดเปอร์เซ็นต์ และช่วยชดเชยจุดอ่อนในกลุ่มธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจเซิร์ฟเวอร์และฮาร์ดแวร์ (สีน้ำเงินเข้มในกราฟ) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายไตรมาสที่ผ่านมา

สำหรับภาพของเศรษฐกิจโดยรวม JPMorgan ประเมินว่า การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI มีส่วนช่วยให้ GDP สหรัฐ ขยายตัวถึง 1.1 จุดเปอร์เซ็นต์ในช่วง H1/2025 หรือเกือบ 4 ใน 5 ของการเติบโตทั้งหมด (1) ขณะที่ Jason Furman นักเศรษฐศาสตร์ของ Harvard ชี้ว่า หากไม่มีแรงหนุนจากการลงทุน AI การเติบโตของ GDP สหรัฐ อาจแทบไม่ขยับ หรือราว 0.1% ต่อปีเท่านั้น (2)

ผู้อยู่เบื้องหลังเม็ดเงินลงทุนเหล่านี้ คือ กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี (Hyperscalers) ได้แก่ Amazon Microsoft Google Meta และ Oracle โดย Citi Research ประเมินว่าเม็ดเงินลงทุนของ Hyperscalers กลุ่มนี้อาจสูงเกือบ 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2025 หรือราว 1.3% ของ GDP และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตัวเลขนี้อาจพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ McKinsey ยังประเมินว่า ขีดความสามารถของ Data Centre ของ AI จะเพิ่มขึ้นกว่า 3.5 เท่าภายในปี 2030 (3) (ดูกราฟ 2) ซึ่งในเแง่มูลค่า จะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ภายในปี 2030 หรือกว่า 3% ของ GDP

คำถามสำคัญคือ อัตราการลงทุนเช่นนี้จะยั่งยืนหรือไม่? หรืออาจร้อนแรงเกินไป? โดยปัจจุบัน กลุ่ม Hyperscalers ยังสามารถใช้กระแสเงินสดของตนเองได้ เพราะพวกเขามีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานราว 550,000 ล้านดอลลาร์ฯ เทียบกับรายจ่ายด้านการลงทุน (CapEx) ที่ 400,000 ล้านดอลลาร์ฯ ในปีนี้ (4) ทำให้พวกเขาแทบไม่ต้องพึ่งพาแหล่งเงินทุนภายนอกมากนัก แต่สำหรับบริษัทขนาดเล็กกว่า ความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อและความเชื่อมั่นของนักลงทุนล้วนเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะหากสภาพคล่องเริ่มตึงตัวหรือความเชื่อมั่นเริ่มลดลง ก็อาจทำให้ CapEx ชะลอตัวลงได้

อย่างไรก็ดี แม้การลงทุนจะชะลอตัวลงบ้าง แต่ขนาดของการลงทุนที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ยังใหญ่พอที่จะขับเคลื่อนการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการตั้งสมมติฐานว่าหากการลงทุน AI ยังอยู่ในระดับใกล้เคียงปัจจุบัน และ Supply Chain ของ AI ยังคงมีสัดส่วนภายในสหรัฐในระดับที่มีนัยสำคัญ ก็อาจช่วยหนุนให้ GDP ของสหรัฐขยายตัวเพิ่มขึ้น ราว 0.3-0.5 จุดเปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ แม้กลุ่มธุรกิจอื่นๆ จะเริ่มชะลอตัวลง

นอกจากนี้ อิทธิพลเชิงบวกจาก AI ยังไม่ได้จำกัดอยู่แค่ CapEx เท่านั้น แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI ยังส่งผลต่อ ‘ความมั่งคั่งโดยรวม’ (Wealth Effect) ซึ่งอาจช่วยพยุงการใช้จ่ายของผู้บริโภคให้เติบโตต่อเนื่องได้อีกด้วย โดย JPMorgan ประเมินว่าการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม AI ในปีที่ผ่านมา ได้เพิ่มความมั่งคั่งให้ภาคครัวเรือนกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งอาจส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นราว 180,000 ล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 0.6% ของ GDP แม้ว่าส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้บริโภครายได้สูง แต่ก็ยังถือเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญต่อการบริโภคในช่วงที่ค่าจ้างแรงงานเริ่มชะลอตัวลง

ตลาดแรงงานกำลังชะลอตัว เนื่องจาก Demand ที่อ่อนแอ และการเลิกจ้างของภาครัฐ

ในขณะที่การลงทุน AI ช่วยพยุงการเติบโตโดยรวม แต่ตลาดแรงงานสหรัฐกลับเริ่มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยในช่วงเดือน มิ.ย. ถึง ส.ค.ที่ผ่านมา (ข้อมูลล่าสุดก่อน Government Shutdown ซึ่งเราจะกล่าวถึงในภายหลัง) การจ้างงานเฉลี่ยอยู่ที่ราว 29,000 ตำแหน่งต่อเดือน ลดลงจากราว 82,000 ตำแหน่งในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ อัตราการว่างงานก็ขยับสูงขึ้นจาก 4.0% เมื่อต้นปี มาอยู่ที่ 4.3% ในเดือน ส.ค.

จากกราฟ 3 จะเห็นได้ว่ากลุ่มธุรกิจที่เคลื่อนไหวตาม Demand โดยรวม จะมีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นมากที่สุด เช่น กลุ่มสันทนาการและท่องเที่ยว การผลิต และค้าปลีก ขณะที่ อัตราการว่างงานในภาครัฐ สถาบันการศึกษา และบริการสุขภาพ ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เป็นผลมาจากการเลิกจ้างของรัฐบาล และการยุติมาตรการช่วยเหลือจากยุค COVID-19

ทั้งนี้ แม้หลายฝ่ายจะกังวลว่า AI อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น แต่จากงานวิจัยของ MIT และสถาบันอื่นๆ พบว่า ผลกระทบของ AI ที่มีต่อการจ้างงานโดยรวมยังค่อนข้างจำกัดในตอนนี้ (5) และก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการลงทุนด้าน AI ได้ก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวนมากเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การก่อสร้าง Data Centre ใช้แรงงานจำนวนมากในช่วงก่อสร้าง แต่เมื่อเปิดดำเนินการแล้วกลับใช้จำนวนแรงงานค่อนข้างน้อย (6) ภาพรวมทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะ ‘เศรษฐกิจสองจังหวะ’ ของสหรัฐในปัจจุบัน โดยเม็ดเงินลงทุนยังคงแข็งแกร่ง แต่การเติบโตของตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด

ในระยะสั้น ข่าวนโยบายและการเมืองอาจเพิ่มความผันผวนให้ตลาด

เรามองว่า ‘เศรษฐกิจแบบ 2 ทาง’ ของสหรัฐ จะยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดในช่วงหลายเดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากข่าวพาดหัวต่างๆ ก็ยังอาจสร้างความผันผวนระยะสั้นได้ โดยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ มี 2 ประเด็นสำคัญที่โดดเด่นขึ้นมา ได้แก่ Government Shutdown ที่ยืดเยื้อมากที่สุดในรอบหลายปี และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่กลับมาปะทุอีกครั้ง

Government Shutdown ส่งผลให้ไม่มีข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ และความเสี่ยงต่อการสูญเสียตำแหน่งงานอย่างถาวร

การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐที่ยังคงดำเนินอยู่ในขณะนี้ (นานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2018-2019 ที่กินเวลา 35 วัน) กำลังสร้างแรงกดดันโดยตรงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แม้ผลกระทบอาจจำกัดอยู่แค่ระยะสั้นก็ตาม โดยมีการประเมินว่า ทุกสัปดาห์ที่หน่วยงานรัฐบาลยังคงปิดทำการอยู่ จะทำให้ GDP ใน Q4/2025 หดตัวลงราว 0.1-0.2 จุดเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางถูกพักงานชั่วคราวมากถึง 750,000 คน และหลายหน่วยงานก็ต้องระงับภารกิจหลักไว้ก่อน

ในท้ายที่สุด Shutdown ครั้งนี้ ก็ต้องสิ้นสุดลงเหมือนที่แล้วมา แต่เหตุการณ์ครั้งนี้กลับมีความแตกต่างบางอย่างที่นักลงทุนควรจับตามอง

  • ผลกระทบต่อตลาดแรงงาน: แผนของประธานาธิบดี Donald Trump ในการลดจำนวนเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง 300,000 ตำแหน่งภายในสิ้นปี อาจทำให้การพักงานชั่วคราวในครั้งนี้กลายเป็นการสูญเสียตำแหน่งงานอย่างถาวร ซึ่งแตกต่างจาก Shutdown รอบก่อนๆ อย่างชัดเจน (7) (ดูกราฟ 4) โดยปัจจุบัน การจ้างงานภาครัฐได้ลดลงแล้วราว 94,000 ตำแหน่งตั้งแต่ต้นปี แต่การบรรลุเป้าหมายของ Trump หมายความว่า รัฐบาลต้องลดจำนวนเจ้าหน้าที่ลงอีกราว 200,000 ตำแหน่งภายในเวลาเพียง 3 เดือน ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งทั้งในด้านกรอบเวลาและจำนวน
  • ผลกระทบจากข้อมูลเศรษฐกิจ: การปิดหน่วยงานรัฐครั้งนี้ยังทำให้เกิดสุญญากาศทางข้อมูลสำหรับ Fed และนักลงทุน เนื่องจากหน่วยงานสถิติที่สำคัญต้องหยุดทำงาน ส่งผลให้ Fed ไม่สามารถมองเห็นภาพเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ Fed จึงมีแนวโน้มที่จะเดินหน้าตามนโยบายที่ประกาศไว้ คือ การลดดอกเบี้ยรวม 0.5% ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ การ Shutdown ยังอาจทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นในระยะสั้น ซึ่งจะยิ่งสนับสนุนให้ Fed ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนและความไม่แน่นอนเรื่องภาษีนำเข้า ยังเป็นปัจจัยเสี่ยง

ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง รวมถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ ยังคงทำให้เกิดความผันผวนขึ้นในตลาด

ตัวอย่างเช่น เมื่อต้นเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา จีนได้เพิ่มมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากและแร่สำคัญอื่นๆ ทำให้สหรัฐตอบโต้ด้วยการขู่ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงสุดถึง 100% (8) ส่งผลให้นักลงทุนรีบเทขายหุ้นออกมา จนดัชนี S&P 500 ร่วงลงถึง 2.7% ในวันที่ 10 ต.ค. ก่อนจะฟื้นตัวในอีกไม่กี่วันถัดมา หลังประธานาธิบดี Trump เริ่มมีท่าทีที่อ่อนลง เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าตลาดยังคงอ่อนไหวต่อประเด็นความขัดแย้งทางการค้า แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะยังทรงตัวได้ดี

สภาพแวดล้อมปัจจุบันบ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจแบบ ‘Inflationary Growth’ น่าจะคงอยู่ต่อไป ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสินทรัพย์เสี่ยง

ตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลงและความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่ อาจทำให้ Fed และรัฐบาลสหรัฐยังคงดำเนินนโยบายการเงินและการคลังแบบผ่อนคลายต่อไป ซึ่งเมื่อรวมกับการลงทุนด้าน AI ที่แข็งแกร่ง ก็น่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐต่อไป ซึ่งแนวโน้มคล้ายกันนี้กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก

ในระยะข้างหน้า การใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ น่าจะช่วยรักษาการเติบโตไปได้เรื่อยๆ แต่ก็จะทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ปัจจัยเหล่านี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจน่าจะยังคงอยู่ในภาวะ Inflationary Growth ต่อไป ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ต่อหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ โดยปรากฏการณ์นี้สามารถเห็นได้จากช่วง ‘Everything Rally’ ในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งพอร์ต General Investing ของเรา ก็ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มนี้เช่นกัน

(อ่านเพิ่มเติมได้ในสรุปผลการดำเนินงาน Q3/2025 ของ StashAway)

สินทรัพย์ที่โดดเด่นในช่วง ‘Everything Rally’ คือ ทองคำ ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 66% ในปีนี้ และเป็นการปรับตัวขึ้นแรงที่สุดอันดับ 2 ในรอบศตวรรษ รองจากการพุ่งขึ้นหลังวิกฤติน้ำมันปี 1979 (ดูกราฟ 5) ทั้งนี้ แม้ทองคำจะปรับตัวขึ้นแรงและมีการถือครองค่อนข้างสูง ทำให้ความผันผวนระยะสั้นอาจเกิดขึ้นได้ เห็นได้จากการย่อตัวลงเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานของทองคำยังคงแข็งแกร่งในระยะยาว เนื่องจากยังมีแรงขับเคลื่อนเชิงโครงสร้าง เช่น Demand จากธนาคารกลาง ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการคลัง และบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงในพอร์ต โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง และยังมีการใช้นโยบายแบบผ่อนคลายอยู่

ในระยะข้างหน้า เรายังมองเห็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง ในขณะที่ตลาดกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของปี 2025 โดยแรงขับเคลื่อนจากเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาล การเติบโตที่แม้จะไม่ทั่วถึงแต่ยังมั่นคง รวมถึงนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลายมากขึ้น ล้วนเป็นประโยชน์ต่อสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตาม ตลาดก็อาจต้องเผชิญกับความผันผวนจากประเด็นทางการเมืองและสงครามการค้า ซึ่งสำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว การกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจและภูมิภาค น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการขจัด ‘เสียงรบกวน’ ระยะสั้น เพื่อให้คุณสามารถโฟกัสไปที่แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว 

Authors

Stephanie Leung, Group Chief Investment Officer

ในฐานะ Group Chief Investment Officer คุณ Stephanie และทีมงานของเธอเป็นผู้ดูแลผลิตภัณฑ์และพอร์ตการลงทุนทั้งหมดของ StashAway โดยเธอมีประสบการณ์ด้านการลงทุนแบบ Multi-asset มากกว่า 20 ปี ซึ่งก่อนที่จะเข้าร่วมกับ StashAway ในปี 2020 เธอเคยบริหารพอร์ตการลงทุนให้กับสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง Goldman Sachs และ Family Offices ขนาดหลายพันล้านดอลลาร์ฯ ภายในภูมิภาค

Justin Jimenez, Head of Macro and Investment Research

คุณ Justin มีประสบการณ์ด้านการวิจัยเศรษฐกิจและการลงทุนมากกว่าทศวรรษ และมีบทบาทสำคัญในการสร้างมุมมองเศรษฐกิจโลกและสินทรัพย์ต่างๆ ให้ทีมงานด้านการลงทุนของ StashAway โดยก่อนที่จะเข้าทำงานกับ StashAway ในปี 2022 คุณ Justin เคยเป็นนักเศรษฐศาสตร์อยู่ที่ Bloomberg 

References

  1. J.P. Morgan Asset Management. (2025). Is AI already driving US growth? Retrieved from: https://am.jpmorgan.com/us/en/asset-management/adv/insights/market-insights/market-updates/on-the-minds-of-investors/is-ai-already-driving-us-growth
  2. Fortune. (2025). Data centers accounted for all of US GDP growth in early 2025, says Harvard’s Jason Furman. Retrieved from: https://fortune.com/2025/10/07/data-centers-gdp-growth-zero-first-half-2025-jason-furman-harvard-economist/
  3. McKinsey & Company. (2025). The cost of compute: A $7 trillion race to scale data centers. Retrieved from: https://www.mckinsey.com/industries/technology-media-and-telecommunications/our-insights/the-cost-of-compute-a-7-trillion-dollar-race-to-scale-data-centers
  4. Morningstar. (2025). This is an AI boom, not a bubble, says Alger Funds CEO Dan Chung. Retrieved from: https://www.morningstar.com/markets/this-is-an-ai-boom-not-bubble-says-alger-funds-ceo-dan-chung
  5. MIT Sloan School of Management. (2025). How artificial intelligence impacts the US labor market. Retrieved from: https://mitsloan.mit.edu/ideas-made-to-matter/how-artificial-intelligence-impacts-us-labor-market
  6. The Wall Street Journal. (2025). AI data centers create jobs — just not as many as you think. Retrieved from: https://www.wsj.com/tech/ai-data-center-job-creation-48038b67
  7. Reuters. (2025). US government shed 300,000 workers this year, Trump’s HR chief forecasts. Retrieved from: https://www.reuters.com/legal/litigation/us-government-shed-300000-workers-this-year-trumps-hr-chief-forecasts-2025-08-14/
  8. Bloomberg. (2025). China tightens exports of rare earths and related technology. Retrieved from: https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-10-09/china-tightens-exports-of-rare-earths-and-related-technology

หมายเหตุ:

การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน; ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

ข้อมูลนี้ไม่ถือเป็นคำเสนอ คำแนะนำ คำเชื้อเชิญ หรือการชักชวนให้ท่านซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือเข้าทำธุรกรรมใดๆ

ข้อมูลนี้ไม่ได้จัดเตรียมขึ้นโดยคำนึงถึงสถานการณ์ส่วนบุคคลของท่าน (เช่น วัตถุประสงค์การลงทุน สถานการณ์ทางการเงิน หรือความต้องการโดยเฉพาะ) ท่านควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาด้านการเงิน บัญชี ภาษี กฎหมาย และด้านอื่นๆ ของท่านเอง


แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email