ลงทุนแบบมหาเศรษฐี พอร์ตต้องเป็นแบบไหน?

18 March 2024
Kimie Rasmussen
Head of Reserve

การสร้างพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีจำเป็นต้องศึกษาความสัมพันธ์ของสินทรัพย์แต่ละประเภทอย่างละเอียด ซึ่งวิธีนี้ไม่ใช่แค่การลดความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการเพิ่มผลตอบแทนให้ได้มากที่สุด โดยการเลือกสินทรัพย์ที่มักให้ผลตอบแทนแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา ไม่เพียงจะปกป้องพอร์ตโดยรวมของคุณเท่านั้น แต่ยังทำให้คุณมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่หลากหลายอีกด้วย

ตามสถิติในอดีต หุ้นและตราสารหนี้มักเคลื่อนไหวสวนทางกัน (Negative Correlation) โดยปัจจัยดังกล่าวเป็นหนึ่งในเหตุผลที่นักลงทุนระดับโลกมักจัดพอร์ตแบบ ‘60/40’ ระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้

อย่างไรก็ตาม ค่า Correlation ที่เป็นลบระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้ กลับเปลี่ยนแปลงไปในปี 2022 เพราะ Fed เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 50 ปีเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ทำให้ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ปรับตัวลดลงจนไม่สามารถถ่วงดุลกันได้ เห็นได้จากพอร์ตที่ใช้กลยุทธ์ ‘60/40’ ทำผลตอบแทนต่อปีได้แย่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เมื่อปี 2022

เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าการกระจายการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ หากพอร์ตทั้งหมดของคุณมีแต่หุ้นและตราสารหนี้ในปี 2022 คุณก็อาจขาดทุนอย่างหนัก โชคดีที่ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐกลับตัวเป็นขาขึ้น จนให้ผลตอบแทนราว 30% นับตั้งแต่สิ้นปี 2022 จนถึงปัจจุบัน (ณ กลางเดือน ก.พ. 2024) ขณะที่ Yield ของตราสารหนี้ก็ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ

ทั้งนี้ การกระจายการลงทุนที่ดีไม่ได้มีแค่หุ้นและตราสารหนี้เท่านั้น แต่ยังมีสินทรัพย์อื่นๆ ที่มีค่า Correlation ต่ำกับทั้ง 2 สินทรัพย์ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมบรรดานักลงทุนรายใหญ่พิเศษ (UHNW) และนักลงทุนสถาบันถึงมีสินทรัพย์ที่หลากหลายเป็นจำนวนมาก

โดยตารางด้านล่างแสดงสัดส่วนสินทรัพย์ของสมาชิกกลุ่ม TIGER 21 ซึ่งเป็น Community ของบรรดาเจ้าของกิจการ ผู้บริหาร และนักลงทุนรายใหญ่พิเศษ

Source: TIGER 21

และนี่คือ Insights เล็กๆ น้อยๆ ที่ทำไมบรรดามหาเศรษฐีถึงเลือกลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้

  • Private Equity: ลงทุนโดยตรงในบริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ เช่น สตาร์ทอัพ หรือผ่านกองทุน Private Equity ที่ให้ผลตอบแทนไม่สัมพันธ์กับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดยราคาหุ้น Private Equity จะไม่ได้รับผลกระทบจาก Sentiment ของตลาดเหมือนบริษัทมหาชน อีกทั้งมูลค่าของ Private Equity จะขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานในระยะยาว และไม่ต้องเผชิญความผันผวนในตลาด
  • อสังหาริมทรัพย์: การลงทุนโดยตรงในอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่อยู่อาศัยหรือที่ดิน รวมถึงการลงทุนทางอ้อมในกอง REITs จะช่วยสร้างกระแสเงินสดให้นักลงทุน โดยสินทรัพย์ประเภทนี้ยังมีมูลค่าเพิ่มขึ้นแตกต่างจากหุ้น
  • Hedge Fund: Hedge Fund สามารถใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายเพื่อให้ได้ผลตอบแทนโดยไม่ขึ้นอยู่กับทิศทางของตลาด โดยส่วนใหญ่มักจะรักษา Position ฝั่งซื้อและฝั่งขายให้สมดุลกัน (Market-neutral) เพื่อลดความเสี่ยงในพอร์ต ทำให้ผลตอบแทนของ Hedge Fund มักจะไม่สัมพันธ์กับผลตอบแทนของตลาดโดยรวม
  • สินค้าโภคภัณฑ์: ทองคำ น้ำมันและผลผลิตทางการเกษตร มักให้ผลตอบแทนที่เป็นอิสระจากหุ้นและตราสารหนี้ เช่น ทองคำที่เป็นสินทรัพย์ Safe-haven และเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความผันผวนของค่าเงิน
  • เงินสดหรือสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด: การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำอย่างพันธบัตรสหรัฐระยะสั้นและกองทุน Money Market จะช่วยรักษาพอร์ตของนักลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน ซึ่งเป็นเวลาที่สินทรัพย์เสี่ยงทำผลตอบแทนได้ไม่ดีนัก

📊 การกระจายการลงทุน คือ กุญแจสำคัญของความมั่งคั่ง

พอร์ต UHNW อาจให้บทเรียนแก่นักลงทุนไม่มากก็น้อย แต่นักลงทุนควรพิจารณาระยะเวลาในการลงทุน ความเสี่ยง ความจำเป็นในการใช้เงิน หรือสภาพคล่องของตัวเองด้วย อย่างไรก็ตาม หลักการที่สำคัญ คือ นักลงทุนทุกคนควรกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ นอกเหนือไปจากหุ้นและตราสารหนี้

ทั้งนี้ ตลาดเงินมีวิวัฒนาการตลอดเวลา สินทรัพย์ใหม่ๆ จึงเกิดขึ้นอยู่เสมอ การกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์จึงมีความสำคัญมาก เพราะอย่าลืมว่าเป้าหมายของนักลงทุนไม่ใช่การทำนายตลาดได้อย่างแม่นยำทุกครั้ง (เพราะมันเป็นไปไม่ได้!) แต่คือการสร้างพอร์ตที่ยืดหยุ่น ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถก้าวข้ามความผันผวนของตลาดได้ในระยะยาว


แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ