Weekly Buzz: สหรัฐจบปัญหา Shutdown แล้วจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้?
Government Shutdown ของสหรัฐสิ้นสุดลงแล้ว หลังยืดเยื้อมานานที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 43 วัน แล้วเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อพอร์ตของคุณอย่างไร?

ตลาดไม่รอช้า
ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้จบลงเมื่อวันพฤหัสบดี (13 พ.ย.) หลังสภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ซึ่งตลาดก็ตอบรับก่อนที่เอกสารทางการจะเสร็จเรียบร้อยเสียอีก โดยดัชนี Nasdaq ดีดขึ้น 2.3% ส่วนดัชนี S&P 500 ปิดบวกแรงที่สุดในรอบเกือบเดือน หลังมีข่าวว่าทั้งสองพรรคการเมืองตกลงกันได้แล้ว เมื่อวันจันทร์ (10 พ.ย.)
แม้สำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) จะประเมินว่า การ Shutdown ครั้งนี้ อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเสียหายราว 7,000-14,000 ล้านดอลลาร์ฯ แต่แล้วทำไมตลาดถึงยังปรับตัวขึ้น? อาจเป็นเพราะว่านักลงทุนสามารถแยกแยะระหว่าง ‘ดราม่าการเมืองชั่วคราว’ กับ ‘ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ’
ข้อมูลจาก Morgan Stanley แสดงให้เห็นว่า ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 4.4% ระหว่างช่วง Shutdown และยังอยู่ในแดนบวกได้ในช่วง Shutdown 5 ครั้งหลังสุด เพราะตลาดรู้ดีว่าความขัดแย้งแบบนี้มักจบลงในที่สุด และปัจจัยที่ขับเคลื่อนผลตอบแทนระยะยาว เช่น กำไรบริษัท นโยบายการเงิน และการเติบโตทางเศรษฐกิจ ก็จะยังเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในกรุงวอชิงตันก็ตาม
ปัญหาที่ใหญ่กว่าสำหรับนักลงทุนคือ ‘ภาวะสุญญากาศทางข้อมูล’ เพราะในช่วง Shutdown หน่วยงานรัฐบาลส่วนใหญ่ต้องยุติการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น การจ้างงานและการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการเต็มรูปแบบอีกครั้ง ข้อมูลเหล่านี้ก็จะถูกเผยแพร่ออกมาอีกครั้ง
Key Takeaway
ตลาดหุ้นสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนทางการเมืองได้ดีกว่าที่หลายคนคิด ทำให้ผลตอบแทนระยะยาวในพอร์ตของคุณมักขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการ Stay Invested มากกว่าการพยายามจับจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนทางการเมือง
(การกระจายการลงทุนอย่างมีกลยุทธ์ในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจ และภูมิภาค จะช่วยให้พอร์ตของคุณรับมือความผันผวนได้ดีกว่า ซึ่งหากคุณกำลังมองหาพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีทั่วโลก ลองดูพอร์ต General Investing ของเรา)
ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ: ตัวเลขเงินเฟ้อจีนค่อนข้างเซอร์ไพรส์
หลังลดลงอย่างต่อเนื่องมา 2 เดือน ในที่สุดดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนก็ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือน ต.ค. ซึ่งเหนือความคาดหมาย โดยราคาอาหารเป็นตัวช่วยดันตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) ขณะที่ เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ก็พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 20 เดือน หลังเผชิญภาวะเงินฝืด (Deflation) มานานหลายเดือน ทำให้ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจจีนกำลังฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดปลีกย่อยที่นักลงทุนต้องพิจารณา คือ แรงขับเคลื่อนเงินเฟ้อส่วนใหญ่ในเดือน ต.ค. มาจากการเดินทางในช่วงวันหยุดยาว Golden Week ของจีน ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะแยกระหว่างผลกระทบตามฤดูกาล กับการเติบโตของ Demand จริงๆ โดยบรรดานักเศรษฐศาสตร์ ยังคงประเมินว่า เงินเฟ้อจีนในปีหน้าจะยังอยู่ในระดับปานกลางราว 0.9%

ความเสี่ยงสำหรับจีน คือ การติดอยู่ในภาวะที่นักวิเคราะห์เรียกว่า ‘Lowflation’ หรือวัฏจักรที่การเติบโตและเงินเฟ้อค่อนข้างต่ำ ซึ่งหากไม่มีนโยบายสนับสนุนที่แข็งแกร่งกว่านี้ เศรษฐกิจจีนก็อาจติดอยู่ในวงจรนี้ต่อไปเรื่อยๆ และการที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวก็หมายถึง Demand สินค้าที่ลดลงทั่วโลก และบริษัทที่ต้องพึ่งพาผู้บริโภคจีนก็จะชะลอตัวตามไปด้วย
แม้ตัวเลขเพียงเดือนเดียวจะยังไม่ใช่แนวโน้ม แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี หลังเศรษฐกิจจีนเริ่มแสดงให้เห็นสัญญาณฟื้นตัวหลังเผชิญภาวะเงินฝืดมาอย่างยาวนาน ซึ่งนักลงทุนที่มีการกระจายการลงทุนไปทั่วโลก ก็ควรจับตามองว่ารัฐบาลจีนพร้อมที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกมากน้อยแค่ไหน
(หากคุณต้องการมีส่วนร่วมกับการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในระยะยาว ลองดู Flexible Portfolio ของเรา)
Simply Finance: Lowflation

Lowflation คือภาวะที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง ‘เงินเฟ้อที่ดีต่อเศรษฐกิจ’ กับ ‘เงินฝืด’ โดยเงินฝืด หมายถึง ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการปรับตัวลดลง ซึ่งฟังดูดีในตอนแรก แต่ในความเป็นจริงกลับทำให้ผู้คนชะลอการใช้จ่าย เพราะคาดว่าราคาจะยิ่งถูกลงในอนาคต ผลลัพธ์ก็คือเศรษฐกิจอาจติดหล่ม เพราะผู้บริโภคไม่ใช้จ่าย ทำให้ Demand ชะลอตัว และค่าจ้างก็ไม่ขยับขึ้นตาม




