Weekly Buzz: ทองคำจะแตะ 4,000 ดอลลาร์ฯ ได้หรือไม่?

ทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง แตะระดับ 3,860 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังนักลงทุนแห่เข้าซื้อสินทรัพย์ Safe-haven ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 45% YTD และยังไม่มีสัญญาณว่าการปรับตัวขึ้นครั้งนี้จะชะลอตัวลง คำถามสำคัญคือ ทองคำกำลังจะไปแตะระดับ 4,000 ดอลลาร์ฯ หรือไม่?
อะไรทำให้ทองคำปรับตัวขึ้น?
การพุ่งขึ้นของราคาทองคำสะท้อนความกังวลที่เพิ่มขึ้นในหลายๆ ด้าน ทั้งความตึงเครียดทางการค้าที่ทำให้ตลาดไม่สบายใจและกดดันแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ขณะที่ ในสหรัฐ แม้อัตราเงินเฟ้อยังอยู่เหนือระดับเป้าหมายของ Fed ที่ 2.9% แต่ Fed ส่งสัญญาณว่าพร้อมลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้เร็วที่สุดในเดือน ต.ค. นี้เลย ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้ล้วนเอื้อให้ทองคำมีความโดดเด่น เพราะมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและ Yield ตราสารหนี้ที่ลดลง
นอกจากนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง (โดยมีจีนเป็นผู้นำ) เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการถือครองพันธบัตรสหรัฐ โดย J.P. Morgan ประเมินว่า ธนาคารกลางทั่วโลกมีการเข้าซื้อทองคำรวมกันราว 900 ตันในปีนี้ ขณะที่นักลงทุนทั่วไปก็มีพฤติกรรมไปในทิศทางเดียวกัน โดยกองทุน ETF ทองคำมีเงินไหลเข้ามากถึง 50,000 ล้านดอลลาร์ฯ ในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่ทองคำให้ผลตอบแทนดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ ตามข้อมูลจาก World Gold Council

ส่งผลอย่างไรต่อนักลงทุน?
แม้ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สนับสนุนราคาทองคำยังคงแข็งแกร่ง แต่ปัจจุบันทองคำก็กลายเป็นการลงทุนที่ค่อนข้าง ‘แออัด’ แล้วเช่นกัน โดยผลสำรวจของ Bank of America พบว่า 41% ของผู้จัดการกองทุนทั่วโลกมองว่าทองคำคือการลงทุนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งหากความตึงเครียดต่างๆ คลี่คลายลง หรือค่าเงินดอลลาร์ฯ เริ่มฟื้นตัว ก็อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดแรงขายทำกำไรระยะสั้น แต่สำหรับตอนนี้ ความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้อและ Demand ที่แข็งแกร่งจากทั้งสถาบันและนักลงทุนรายย่อย ทำให้ทองคำยังคงน่าสนใจ
สำหรับนักลงทุนระยะยาว บทบาทของทองคำไม่ได้จำกัดแค่การป้องกันความเสี่ยงยามเกิดวิกฤติเท่านั้น แต่ยังเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยสร้างสมดุลให้กับพอร์ตในการรับมือกับความผันผวนของตลาดและแรงกดดันจากเงินเฟ้อ พอร์ต General Investing ของเรา จึงยังคงมีทองคำเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์กระจายการลงทุน เพื่อรับมือกับสภาวะตลาดที่หลากหลายในระยะยาว
Investor’s Corner: ทำไม ‘ตลาดเกิดใหม่’ กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง?

โดยทั่วไปแล้ว ตลาดสหรัฐมักจะเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจของนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทนที่แข็งแกร่ง เงินดอลลาร์ฯ ที่แข็งค่า หรือความเป็นผู้นำในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แต่ในปี 2025 เรื่องราวเหล่านี้กำลังถูกท้าทาย เพราะตลาดหุ้นทั่วโลก (ไม่รวมสหรัฐ) ปรับตัวขึ้นราว 16% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงประมาณ 10% ทำให้นักลงทุนทั่วโลกที่ต้องการปรับพอร์ตเพื่อลดการกระจุกตัวในสหรัฐ เริ่มกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคอื่นๆ เช่น จีน
ดัชนี CSI 300 ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นขนาดใหญ่ของจีน ปรับตัวขึ้นมาใกล้ระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี โดยมีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นผู้นำ เพราะได้อานิสงส์จากความก้าวหน้าของ AI (เช่น DeepSeek) และนโยบายที่ชัดเจนจากรัฐบาลจีน นอกจากนี้ นักลงทุนรายย่อยของจีนก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 90% ของปริมาณการซื้อขายรายวัน ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นจีนยังมีช่องว่างให้เติบโตอีกมาก เนื่องจากครัวเรือนจีนมีเงินออมสะสมกว่า 160 ล้านล้านหยวน (ราว 22 ล้านล้านดอลลาร์ฯ) แต่มีเพียง 5% ที่ถูกนำมาลงทุนในตลาดหุ้น
เงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนค่าลงยังช่วยหนุนตลาดเกิดใหม่โดยรวม เพราะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของภาคส่งออก ลดภาระหนี้ และเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศตลาดเกิดใหม่ ประกอบกับ Demand ที่แข็งแกร่งของ AI และเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ซึ่งเป็น 2 กลุ่มธุรกิจที่จีนมีบทบาทสำคัญ ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า สภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันกำลังตอกย้ำให้เห็นความสำคัญของการกระจายการลงทุนทั่วโลก
(หากคุณต้องการเติบโตไปกับเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก ลองดู Flexible Portfolio ของเรา)
เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize
Simply Finance: สินทรัพย์ Safe-haven

สินทรัพย์ Safe-haven คือสินทรัพย์ที่สามารถรักษามูลค่าได้ในช่วงที่ตลาดเผชิญความผันผวน ตัวอย่างแบบดั้งเดิมก็คือ ทองคำ ซึ่งมักมี Demand เพิ่มขึ้นเมื่อความไม่แน่นอนในตลาดพุ่งสูงขึ้นและนักลงทุนเริ่มหาทางป้องกันความเสี่ยง ขณะที่ พันธบัตรของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ก็ทำหน้าที่นี้ได้ดีเช่นกัน รวมถึงสกุลเงินของบางประเทศ เช่น เยนของญี่ปุ่น และฟรังก์ของสวิตเซอร์แลนด์