Weekly Buzz: ทบทวนปี 2025 และมองไปข้างหน้าสู่ปี 2026
ปี 2025 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป ถือเป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทาย โดยตลาดหุ้นหลายแห่งได้พุ่งทะยานทำสถิติสูงสุดใหม่ ท่ามกลางสงครามการค้า ความกังวลเรื่องฟองสบู่ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้นักลงทุนต้องชะงักไปบ้าง และนี่คือสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาและแนวโน้มที่กำลังจะมาถึงในปีถัดไป
มองย้อนกลับไปในปี 2025
ตลาดหุ้นหลายแห่งสามารถทำ All-time High ได้ในปีนี้ โดยหุ้นโลกกลายเป็นจุดสนใจหลัก หลังจากประธานาธิบดี Trump ได้ประกาศนโยบายภาษีนำเข้าในวัน Liberation Day ทำให้ความเชื่อมั่นในสินทรัพย์สหรัฐต้องถูกสั่นคลอน ขณะที่ หุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นมากกว่า 17% โดยได้รับแรงหนุนจาก Valuation ที่น่าดึงดูด และการที่รัฐบาลเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมและโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐ ยังคงให้ผลตอบแทนราว 16% ในปี 2025 ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้ว ช่วงเวลาที่ตลาดผันผวนมักกลายเป็นจุดเข้าซื้อที่มักทำกำไรได้มากที่สุดในระยะยาว

ขณะที่ จีนก็กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยการเปิดตัวโมเดล AI ของ DeepSeek ในเดือน ม.ค. ได้กระตุ้นให้นักลงทุนทั่วโลกกลับมาสนใจเทคโนโลยีจีนอีกครั้ง และผลักดันให้ดัชนี Hang Seng Tech พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี ซึ่งท้าทายความเชื่อเดิมๆ ที่ว่าสหรัฐเป็นผู้ผูกขาดนวัตกรรม AI แต่เพียงผู้เดียว
ท่ามกลางกระแสหุ้นที่ร้อนแรง ตลาดยังคงมีความกังวลเรื่องสงครามการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ทำให้นักลงทุนและธนาคารกลางหลายแห่งเลือกถือครองทองคำเป็นสินทรัพย์ Safe-haven ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งสูงถึงราว 60% ในปีนี้
ทั้งนี้ AI ยังคงเป็นธีมหลักสำหรับการลงทุนในปี 2025 แม้จะมีความกังวลเรื่องฟองสบู่ แต่ผู้นำ AI ในปัจจุบันมีรายได้และกระแสเงินสดที่จับต้องได้รองรับ ต่างจากยุคดอทคอมที่บริษัทต่างๆ มีค่า P/E เฉลี่ยสูงถึง 67 เท่าทั้งที่แทบไม่มีกำไรเป็นชิ้นเป็นอัน
มองไปข้างหน้าสู่ปี 2026

การเติบโตของกำไรคือ แรงขับเคลื่อนหลักของผลตอบแทนของหุ้นในระยะยาว ซึ่ง Goldman Sachs ได้ให้ตัวเลขที่น่าสนใจว่าบริษัทในดัชนี S&P 500 น่าจะมีกำไรเติบโตประมาณ 12% ในปีหน้า ขณะที่เอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) อยู่ที่ 16% ตามมาด้วยญี่ปุ่น 9% และยุโรป 5% โดย AI จะยังคงมีบทบาทสำคัญในปี 2026 เพราะในสมมติฐานที่ดีที่สุด บริษัทต่างๆ จะยังคงลงทุนต่อเนื่อง การใช้งาน AI จะเร่งตัวขึ้น และการเพิ่ม Productivity จะแผ่ขยายไปทั่วทุกอุตสาหกรรม แต่ในสมมติฐานที่แย่ที่สุดคือ การใช้จ่ายอาจชะลอตัวและผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามเป้า
นอกเหนือจาก AI ปัจจัยที่อาจสร้างความประหลาดใจให้ตลาดอาจมาจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือการเปลี่ยนแปลงทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยปัจจุบันตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2026 แต่หากประธานาธิบดีสหรัฐแต่งตั้งประธาน Fed คนใหม่ที่มีแนวคิดสนับสนุนนโยบายดอกเบี้ยต่ำและการผ่อนคลายเชิงรุกมากขึ้น การลดดอกเบี้ยก็อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด
Key Takeaway
เมื่อปี 2025 ใกล้จบลง ก็อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการหยุดมองย้อนกลับไปทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะแม้จะมีความตึงเครียดทางการค้า ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความกลัวเรื่องฟองสบู่ แต่ผู้ที่ Stay Invested กลับได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ปีนี้ยังถือเป็นการปิดฉากยุคสมัยของ Warren Buffett นักลงทุนระดับตำนานที่ประกาศเกษียณอายุ แต่หลักการลงทุนของเขายังคงอยู่ โดย Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “เวลาคือเพื่อนแท้ของบริษัทคุณภาพดี” และงานวิจัย 200 ปีของ Deutsche Bank ก็ยืนยันแนวคิดนี้ โดยพบว่าหากคุณลงทุนหุ้นในช่วงเวลาไหนก็ตามเป็นเวลา 25 ปี โอกาสที่คุณจะขาดทุนจะเหลือแค่ 0.8% เท่านั้น
ดังนั้น เมื่อมองไปข้างหน้าสู่ปี 2026 แนวทางการลงทุนยังคงเหมือนเดิม นั่นก็คือ การกระจายการลงทุนและลงทุนอย่างต่อเนื่อง แม้ข่าวพาดหัวอาจเปลี่ยนไป แต่หัวใจสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวยังคงเหมือนเดิม
(พอร์ต General Investing ของเรา ถูกออกแบบบนหลักการเดียวกันนี้ โดยมีการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจ และภูมิภาค เพื่อให้คุณสามารถลงทุนได้อย่างต่อเนื่องในทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในปีใหม่นี้ก็ตาม)
Simply Finance: ผลตอบแทนทบต้น

Compounding หรือผลตอบแทนทบต้น คือ ปรากฏการณ์ที่ผลตอบแทนจากการลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนต่อยอดให้กับตัวมันเองได้ ตัวอย่างเช่น การลงทุน ฿100,000 ที่ให้ผลตอบแทน 10% จะกลายเป็น ฿110,000 และเมื่อได้ผลตอบแทน 10% อีกครั้ง ผลตอบแทนจะถูกคำนวณจาก ฿110,000 ทำให้เงินเพิ่มเป็น ฿121,000 และเมื่อเวลาผ่านไป ผลของการทบต้นจะยิ่งเร่งการเติบโตมากขึ้น คล้ายกับก้อนหิมะที่กลิ้งแล้วใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ (Snowball Effect)
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “เวลาคือเพื่อนแท้ของบริษัทคุณภาพดี” และเป็นเหตุผลเดียวกับที่ทำให้การลงทุนในตลาดอย่างต่อเนื่อง (Time in the Market) สำคัญกว่าการพยายามจับจังหวะตลาด (Timing the Market) ในระยะยาว


